weopenmind.com Blog


หมักมาแว้ววว..แม้วมาวัก..

Posted in Uncategorized by Jacelyn on March 25, 2022

หมักมาแว้ววว…แม้วมาวัก…พรรคพลังประชาชน!!!

ในที่สุดฝันที่เป็นจริงของ”ป๋าหมาก” ก็ใกล้  จะกลายเป็นจริงในตำแหน่ง
“ว่าที่แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี” เมื่อกลายมาเป็นหัวหน้าพรรคนอมินีให้กับทักษิณ มหาเศรษฐีระดับโลก
อดีตผู้นำไทยซึ่งกำลังใส่บทบาท “ผู้นำไร้แผ่นดิน” ในยามนี้ข่าวจากสื่อบอกตรงกันมาหลายวันว่า “เสี่ยหมัก” จะมายืนในตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มไทยรักไทย ซึ่งกำลังวางแผนเซ็งลี้พรรคพลังประชาชน มาใช้ชั่วคราว ผ่านการประสานงานของ 2 หญิงเหล็ก “สุดารัตน์-เจ๊แดง” เมื่อมาถึงขั้นนี้ราชรถมาเกยถึงหน้าบ้าน “เสี่ยหมัก” ย่อมมีฟอร์มอิดเอื้อนพอเป็นพิธี แม้ไม่รับปากในทันที แต่ของยังงี้มองจมูกพะเยิบพะยาบก็รู้แล้ว…หัวใจมันพองโตขนาดไหน
ในที่สุดก็ต้องเรียบร้อยโรงเรียนแม้ว….อีกแล้วครับท่านไหน ๆ ก็ไหน ๆ ผมเคยเขียนบล็อคเล่าเรื่อง “ป๋าหมาก” ไว้ ในโอเคเนชั่นเมื่อ
วันอาทิตย์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2550 หัวข้อ“คิดถึง หมัก สัญลักษณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยน”
( หลาย ๆ ท่านคงยังไม่ได้อ่าน ) เลยขออนุญาตนำ”ของเก่า” มาขายอีกครั้ง
เริ่มเลยนะครับ…
***************
พลิกไปในตู้หนังสือ จะว่าเก่าก็ยังไม่เก่านักจะว่าใหม่ก็ไม่ได้
ในยุค การต่อสู้ทางความคิด ช่วง 14 ตุลา 16 มาจนเหตุการณ์ 6 ตุลา 19
มีเรื่องราวที่อยากจำกลับลืม ที่อยากลืมกลับจำความโดดเด่น ในเอกลักษณ์ของเอกบุรษผู้นี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว
ในทุกอาชีพที่เค้าทำ แทบจะเป็น”ตำนาน” ในวงการนั้น ๆ
ไม่ว่าในแวดวงน้ำหมึก แวดวงการเมือง และแวดวงคนทำหนังสือเขียนหนังสือหนังสือในหิ้ง ชุดนี้มี 4 เล่ม เน้นเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกันคือ
* ฯพณฯ หอย
* สันดานหนังสือพิมพ์
* สันดานรัฐมนตรี ปม.
* สันดานรัฐมนตรีทั้ง 4 เล่มเป็นเสมือนบันทึกประวัติศาสตร์ ในห้วงการต่อสู้ทางความคิดทางการเมือง
ระหว่างรัฐบาลหอย หรือรัฐบาลที่มาจกการปฎิรูปการปกครอง ( ปฏิวัติ) จากกรณี 6 ตุลาคม 2519เป็นผลงานการรังแกหนังสือพิมพ์ ที่อาจกล่าวไได้ว่ามากที่สุด ในประวัติศาสตร์เมืองไทยก็ว่าได้
หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ ถูกปิดลงทันที หลังมีประกาศจาก รมต.ที่มีฉายา “ปม.” นั่นแหละครับ

นอกจากการรังแกหนังสือพิมพ์แบบที่เผด็จการทั้งหลายชอบทำแล้ว ยังมี”หนังสือต้องห้าม” ที่ยังคงเป็นหนังสือผิดกหมาย อยู่อีก นับ 200 เล่ม

ซึ่งนั่นคือที่มาของการยืนฝั่งตรงข้ามตลอดกาลของ “คนหนังสือพิมพ์” และ “คนอย่างสมัคร”

สำหรับเล่มแรกนี้ “สันดานรัฐมนตรี ปม.” เป็นงานเขียนของทหารเก่าจากค่าย”สยามรัฐ”

ที่เขียนตอบโต้ “สันดานหนังสือพิมพ์” ของนายสมัคร สุนทรเวช ที่พิมพ์ออกมาก่อนหน้า

นักข่าว คอลัมนิสต์ ทั้งหลายต่างโดนนายสมัคร “สับแหลก” ไปหลายต่อหลายคน

แต่ “ทหารเก่า” ดูเหมือนจะเจ็บร้อนมากกว่าเพื่อน อาจจะเรียกได้ว่า”ทหารเก่า” เป็นนักข่าว นักเขียนอาวุโส
ที่เห็นเส้นทางเดินของ “สมัคร สุนทรเวช” มาตั้งแต่สมัย นายมัคร ไปเขียนคอลัมน์ให้สยามรัฐในนามปากกา “นายหมอดี” จนกระทั่งมีส่วนในการคัดเลือก ผู้สมัครสส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์

และถูกนายสมัครตั้งฉายา “ทหารเก่า” ว่า “ไอ้แก่หลายนามปากกา” จากหนังสือเล่มนี้และอีกทุกครั้งที่มีการกล่าวถึง
ว่ากันว่าเพื่อหลีกเลี่ยงข้อหา”หมิ่นประมาท” นั่นเอง

ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเป็นการตอบโต้กันโดยเฉพาะ ระหว่าง “ทหารเก่า” กับ “สมัคร สุนทรเวช”

ในหน้า “คำนิยม” นั้น ทหารเก่า ได้นำข้อเขียนของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาไว้ในหน้าแรก
โดยใช้ “ลายมือ” มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชแท้ ๆ มาถ่ายบล็อคแล้วนำลงพิมพ์โดยไม่ต้องเรียงพิมพ์
( สมัยก่อนระบบการพิมพ์ยังไม่ทันสมัยเหมือนสมัยนี้ )

ในฉบับ นอกจากจะมีข้อเขียนของ”ทหารเก่า” แล้ว ยังมีข้อเขียนของนักข่าว คอลัมนิสต์นามกระเดื่องแห่งยุคนั้น
มากมายหลายท่าน อาทิเช่น กะแช่, เพชร บ้านแหลม, ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์, สิงโต, สนทะเล, นพพร บุญยฤทธิ์,
ถาวร สุวรรณ ,โชติ มณีน้อย, ปรีชาสามัคคีธรรม, ชัยยะ ปั้นสุวรรณ, ม้าป่า, พญาไม้, ชูพงษ์ มณีน้อย, ฉัตร เชิงดอย, จัตวา กลิ่นสุนทร, และชอบ มณีน้อย เป็นต้น

…แต่แปลก…. แปลกที่ไม่ยักมี “กาแฟดำ”  (ฮา)

ในช่วงแรกนี้ยังไม่ได้รวบรวมการเขียนให้เป็นระบบ ผมได้เขียนบันทึกเป็น “รายงานชาวบ้าน” ไว้ที่นี่ครับ

พบแล้ว..สันดานรัฐมนตรี…สันดานรัฐมนตรี ปม. และ “ฯพณฯ หอย”

***************

รายงานชาวบ้าน : สันดานรัฐมนตรี

เกริ่นไว้หลายครั้งหลายที่ว่าจะเขียนเรื่องราวของ อดีต รมต.คนดังของเมืองไทยซึ่งถือเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” กับคนหนังสือพิมพ์ ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีนักการเมืองไทยที่มีความสัมพันธ์เชิงลบแบบสุด ๆ กับผู้คนในอาชีพสื่อมวลชน และถูกต่อต้านจากสื่อมวลชนเท่าอดีต รมต.คนนี้เอ่ยแค่นี้ คงพอจะเดา ๆ กันได้นะครับ…เขาล่ะ…เจ้าชายห่อหมก…( สำนวน แม่ลูกจันทร์ )

หรือ จอมซ่าส์…เนรคุณ…คอรัปชั่น…หลงตนและ ป.ม. ( สำนวน “ทหารเก่า” )

ที่บอก “พบแล้ว” นั่นคือหนังสือ 3 เล่มที่เขียนโดย “นักหนังสือพิมพ์” ในสมัย 14 ตุลา 16 หรือ 6 ตุลา 19 ไม่เฉพาะแต่ในค่าย “สยามรัฐ” เท่านั้น

แม้แต่ “กระแช่” แห่ง “ดาวสยาม” ที่ถือว่าอยู่ฝั่ง “ขวาจัด” ด้วยกันยังไม่วาย “ร่วมบันทึกประวัติศาสตร์” ในครั้งกระนั้นไว้ด้วย

สำหรับเรื่องราวของ “รมต.จอมซ่าส์” คนนี้จะว่าไป ผมมิได้มีเรื่องราวฝังใจในอดีตกับคน ๆ นี้แต่ประการใด แต่อยากเก็บบันทึก “เสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์” เอาไว้เผื่อคนรุ่นหลังจะได้อ้างอิงชนิด “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม” เอาไว้ยืนยันว่า ในสายตานักหนังสือพิมพ์ตัวจริง ท่านเหล่านั้นมองอดีตรมต.จอมซ่าส์คนนี้ในมุมใหนบ้าง

สำหรับผมเอง เสมอเป็นเพียงผู้เรียบเรียงเรื่องราว จากประสพการณ์ที่เคยทำอาชีพนักหนังสือพิมพ์ในยุคสมัยแห่งความวุ่นวายแบ่งซ้าย แบ่งขวา ได้รับรสชาดของยุคสมัยแห่งการปิดปากหนังสือพิมพ์มาด้วยตนเอง การบันทึกเรื่องราวจึงขอกลั่นออกมาจากใจจริง

อาจมีอคติบ้าง ตามประสามนุษย์ปุถุชน แต่ยืนยันได้ว่า ทุกเรื่องที่เรียบเรียงขึ้นนี้ เป็น “เรื่องจริง” ที่มีผู้ยืนยันทั้งสิ้น

บางท่านบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวเป็นหนังสือขายดีแห่งยุคสมัย…หลัง “รัฐบาลหอย” ตกกระป๋อง

แม้บางท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลาย ๆ ท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ “มีอำนาจวาสนา” มีตำแหน่งแห่งที่ในสังคมไทยแตกต่างกันไป

สำหรับ “ฯพณฯ หอย” งานเขียนของ “ทหารเก่า” เป็นการบันทึกเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 และการเกิดขึ้นของรัฐบาลของ คณะปฏิรูปฯ เนื้อหาค่อนข้างสมบูรณ์ ในแง่ที่มองรัฐบาลหอยในภาพรวม มีบันทึกเฉพาะเรื่อง รมต.จอมซ่าส์รวมอยู่ด้วย

“สันดานรัฐมนตรี ป.ม.” งานเขียนของ “ทหารเก่า” จากชายคา “สยามรัฐ” คนเดียวกับคนเขียน “พณฯหอย”

งานเขียนชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นงานเขียนขายดี ขนาดที่ว่าพิมพ์จำหน่ายซ้ำถึง 6 ครั้ง โดยสำนักพิมพ์ พีจี ราคาหน้าปกมาตรฐาน ( 15 บาท ) ลองเสิร์ชดูในตลาดหนังสือเก่าคงพอจะหาได้

ในการพิมพ์ครั้งที่ 2 และครั้งหลัง ๆ มีการนำเอาคำวิจารณ์หนังสือจากผู้ที่มีชื่อเสียงมากมายเป็นประวัติการณ์ อาทิเช่น มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ( พิมพ์เป็นลายมือแท้ ๆ ) เกษม ศิริสัมพันธ์, กระแช่, เพชร บ้านแหลม, นพพร บุณยฤทธิ์,ถาวร สุวรรณ, ชอบ มณีน้อย( นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ ) ปรีชา สามัคคีธรรม นายกสมาคมนักข่าว, ชัยยะ ปั้นสุวรรณ ( ดาวสยาม ) ม้าป่า, พญาไม้, ฉัตร เชิงดอย (สุภาพ คลี่ขจาย ) ชูพงษ์ มณีน้อย ( แม่ลูกจันทร์ไทยรัฐในปัจจุบัน ) ฯลฯ

กองทัพปากกาของผู้อาวุโสเหล่านี้ ล้วนเป็น “ประสพการณ์ตรง” และร่วมกันบันทึกเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ “ทหารเก่า” นำมาเขียนนั้น ตรงใจนักหนังสือพิมพ์ “แท้ ๆ ” ขนาดใหน

และเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ทุกเรื่องที่ปรากฎจึงเป็น “เรื่องจริง” ที่มีตัวบุคคลยืนยันอย่างไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่อาชีพหนังสือพิมพ์จะถูกดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดจาก “นักการเมือง” ที่มีชื่อเสียงมาจากอาชีพเขียนหนังสือขายมาก่อน

และไม่แต่เท่านั้น เมื่อรัฐบาลเผด็จการที่มีอายุเพียง 9 เดือนเศษ ๆ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 แต่สั่งปิดหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ต่างกรรม ต่างวาระตลอดเวลาที่ รัฐบาลหอยปกครองบ้านเมือง มากมายเป็นประวัติการณ์

เฉพาะ “สยามรัฐ” ของ อดีตนายกรัฐมนตรี มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช โดนปิดถึง 2 ครั้ง ในเวลาห่างกันไม่กี่เดือน คือ ช่วงตรุษจีน และช่วงวันเกิดสยามรัฐ

การสั่งปิดหนังสือพิมพ์นั้น จะว่าไปในแง่เศรษฐกิจมันไม่เท่าไหร่ แต่ที่ประชาชนเจ็บใจคือการใช้อำนาจเผด็จการมาปิดปากประชาชน

นี่สิมันถึงเป็นเรื่องที่ “ยอมกันไม่ได้”

แม้ในห้วงเวลาเผด็จการปิดปากกว่า 9 เดือนนั้น…การตอบโต้จากฝ่ายหนังสือพิมพ์ ก็มิได้ห่างหาย แต่พยายามทำอยู่ในกรอบแห่งความสุภาพ

แม้จะถูกกล่าวหา ใส่ร้ายอย่างต่ำช้าจากผู้ปกครองปากเสียเท่าใดก็ตาม ชาวหนังสือพิมพ์ก็มีเพียงปากกา ที่จะสามารถถ่ายทอดความจริงออกมาได้อย่างจำกัด

เพราะฝ่ายรัฐถืออำนาจในมือ ย่อมสามารถสั่งการได้ทุกอย่าง ถูกต้องตามกฎหมาย
แต่ไม่ใช่การใช้อำนาจที่ “ชอบธรรม” ที่กระทำต่อประชาชน

หากหนังสือพิมพ์เขียนเกินเลยไป ก็จะโดนเล่นงานด้วยคำสั่ง ห้ามเขียนบ้าง เตือนบ้าง สั่งปิดหนังสือพิมพ์บ้าง

หนังสือตำราบางเล่ม ( กว่า 200 เล่ม ) ก็โดนคำสั่งเป็นหนังสือต้องห้ามไม่ยอมให้ครอบครอง…นับว่าเป็นยุคเผด็จการ พอ ๆ กับสมัย “จิ๋นซี ฮ่องเต้” ประมาณนั้น ( ลองสืบค้นในเว็บ 6 ตุลา 19 พอมีบันทึกครับ )

ด้วยเหตุนี้ “รมต. ป.ม. ไอ้ซ่าส์จอมเนรคุณ” จึงเป็นที่รังเกียจชนิดที่ไม่มีนักหนังสือพิมพ์คนใหนอยากเอาไม้สั้นไปรันขี้ ไม่อยากแม้แต่เขียนถึงหรือตอบโต้แม้จะโดนเป็นฝ่าย “ถูกกระทำ”
เพราะหากใครบังอาจไปแตะต้อง “รัฐบาลหอย” เข้า
ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นต้องมีอันถูกเตือนด้วยหนังสือจาก “เจ้าพนักงานการพิมพ์” เป็นอย่างน้อย

หากหนักหนาสาหัสก็โดนคำสั่งปิด ชนิดมีกำหนดบ้าง ไม่มีกำหนดบ้าง

ถือได้ว่าเป็น “ยุคมืด” ของวงการสื่อสารมวลชนก็ว่าได้

แต่ถึงที่สุด เพื่อเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ และมีนักหนังสือพิมพ์ตัวจริงกล้าพอที่จะเขียน
 ”เปิดโปงรมต.” ออกมาให้อ่าน

ทั้งนี้เพราะอย่างน้อยก็เพื่อให้ประชาชน ได้มี “ข้อมูล” อีกด้าน สำหรับใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ มา

ที่หนังสือเหล่านี้สามารถตีพิมพ์ออกมาได้ ก็เพราะ “รัฐบาลหอย” มีอันตกกระป๋องไปในเวลาไม่นาน เมื่อหมดอำนาจวาสนาถึงเวลานั้นก็ไม่มีใครกลัวใครแล้ว

อีกเล่มนั้น ชื่อหนังสือ “สันดานรัฐมนตรี” หน้าปกเป็นรูปใบหน้าคน มีผลชมพู่ ( จริง ๆ ) ลอยอยู่ตรง “จมูก” พิมพ์ครั้งแรก เดือนมีนาคม 2521 ( หลังจากรัฐบาลหอย ถูกถีบลงจากอำนาจเพราะการปฏิวัติของ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ )

สำหรับ “สันดานรัฐมนตรี” เล่มนี้ ผู้เขียนคือ วีระ มุสิกพงศ์,, จัตวา กลิ่นสุนทร, บาแดง ( แห่งสยามรัฐ) และ “เบิ้ม บางเบิด” ( เดลินิวส์ )

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้สามารถใช้อ้างอิงได้ เพราะเขียนออกมาจาก คนร่วมสมัย คนร่วมวิชาชีพ และคนร่วมพรรคการเมือง ( ปชป.) กันมาก่อน

ที่สำคัญ เป็น “กลุ่มหนุ่ม ปชป.” ( สมัยนั้น ) ย่อมมีความสัมพันธ์รู้ตื้นลึกหนาบางของสันดานรัฐมนตรีได้เป็นอย่างดี

“สันดานรัฐมนตรี” พ็อคเก็ตบุ๊คความยาว 243 หน้า เนื้อหา 27 เรื่อง

เนื่องจากมีหลายคนเขียนหลายสำนวน ในที่สุดเลยรวมเป็นสำนวนเดียว โดยวีระ มุสิพงศ์ ( ผู้ต้องหาในวันนี้ ถ้าออกจากคุกครั้งนี้ เราอาจมีหนังสือ “สันดานเผด็จการ” มาให้อ่านอีกกระมัง “ท่านไข่แม้ว” ) เป็นคนเขียนและเรียบเรียง เนื้อหามี 27 บทคือ

สันดานรัฐมนตรี
ขณะเป็นนักศึกษา ( กรณีขายบัตรโต้วาทีเกิน เม้มเปอร์เซ็นต์การขายโฆษณาหนังสือเชียร์จากรุ่นน้อง )
เริ่มทำงานและการเมือง
หากินกับรางวัลนำจับ
การสร้างข่าวเท็จ
ตั้งขบวนการข่มขู่นักเขียนข่าวสังคม
เริ่มต้นเหยียบบ่าเพื่อน
การยกหางตัวเอง
ความขี้เห่อ
ขณะเป็น สส. และ รัฐมนตรี
การหากินโดยอาศัยตำแหน่ง สส. และ กรรมาธิการ
ฐานะและสถานการณ์ในพรรค
ถูกเข้าชื่อไล่ออกจากพรรค
ชนะเลือกตั้งเขตดุสิต
สู่อำนาจเบ็ดเสร็จ
ยืมมือเพื่อนโจมตีปลัดชลอ
ความขัดแย้งกับมูลนิธิภูมิพโลภิกขุ
เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์
กับหนังสือพิมพ์ในต่างประเทศ
การแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูป
ความเกี่ยวพันกับบุคคลบางคน
การแต่งตั้งที่มีเงื่อนงำในกรมตำรวจ
ผลงานลือลั่นในกรมตำรวจ
ความสัมพันธ์กับธรรมนูญ เทียนเงิน
แตกกับธรรมนูญ
แนวคิดและความเชื่อ
สันดานเผด็จการ

http://www.oknation.net/blog/canthai/2007/07/31/entry-2

…..คุณเชื่อมั๊ย สส. ฝีปากกล้าอภิปรายในสภาเพื่อโจมตี รมต.คลัง สมหมาย ฮุนตระกูล ครั้งนั้น
ไม่มีใครเล่นด้วยจึงแพ้คะแนนเสียงในสภาไป
ทั้งนี้เพราะท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีพระราชทานเพิ่งกลับเข้ามาใหม่
หลังจากน้อยใจลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีไปครั้งหนึ่งแต่คนอภิปรายแบบไม่ยั้งปากไปพาดพิงสุภาพสตรีในกระทรวงการคลังเข้า
ในทำนองเสียหาย สุภาพสตรีท่านนั้นจึงลางานช่วงบ่ายมาที่สภาพร้อม ๆ กับสามีเมื่อมาเจอกันหน้าสภาก็มีปากเสียงกันระหว่าง สส. คนดัง กับหญิงที่เสียหายคนนั้น..
สส.คนดังปากกล้าเกือบถูกผู้หญิงเอารองเท้าตบหน้าที่หน้าสภา….
ดีว่ามีตำรวจสภามากันไม่ให้ประชิดตัวกันว่ากันว่าคนที่ไปกระซิบบอกตำรวจสภาให้มาระงับเหตุคือ “ทหารเก่า”
นักเขียนคอลัมน์รุ่นปู่ ผู้ที่รัฐมนตรี ปม. เกลียดนักเกลียดหนาจนให้ฉายา
…”ไอ้แก่หลายนามปากกา”…นั่นเอง….

****************************
เชื่อมั๊ย รมต. ปม. เคยโดนลอบยิงด้วย M72 ที่ลำปาง พื้นที่นั้น พท.ประจักษ์ สว่างจิตรเป็นผู้บังคับกองพัน
ทหารที่ถูกจับอาวุธนั้นตำรวจทำสำนวนให้เกี่ยวข้องกับ พท.ประจักษ์ สว่างจิตร…( คล้าย ๆ สมัยนี้นะ …)

เชื่อมั๊ย รมต. ปม. ขึ้น ฮ. โดน พท.ประจักษ์ สว่างจิตรยิงที่อรัญประเทศ โชคดีที่รอดมาได้

เชื่อมั๊ย รมต. ปม. สั่งจับนิสิตจุฬาฯและอาจารย์ ฐานวางแผนลอบสังหาร รมต. แต่ภายหลังก็ต้องปล่อยตัวไป

เชื่อมั๊ย รมต. ปม. คือสาเหตุที่ ทหารทำการปฏิวัติ เพราะ พท.ประจักษ์ สว่างจิตร ตั้งกระทู้ถาม รมต.มหาดไทย กรณีการถวายอารักขาขบวนเสด็จฯ ในสภาปฏิรูปขอให้ รัฐบาลหอยรับผิดชอบ
( กรณี มีระเบิดใกล้รถยนต์พระที่นั่ง และมีขี้เมาขับรถมอเตอร์ไซค์ชนขบวนเสด็จ ฯ 21 กันยายน 2520 ก่อนการปฏิวัติ 1 เดือน )

รมต.ปม. กลับตอบโต้แบบไม่รับผิดชอบ ทำนองว่าหากอยากให้ รมต.มหาดไทยลาออก ก็ให้เอาระเบิดไปโยนใส่ชบวนเสด็จ ฯ ถ้าหากมีระเบิดแล้ว รมต.มหาดไทยต้องลาออก ก็ให้เอาชื่อรมต.มหาดไทยใส่ซองไว้เยอะ ๆไปเลย…Huh?…”

ระหว่างนั้นรัฐมนตรีคนอื่น ๆ นิ่งเงียบกริบในสภาเพราะนึกไม่ถึงว่ารมต. ปม. จะโอหังบังอาจขนาดนั้น พท.ประจักษ์ สว่างจิตต์ จึงได้ลุกขึ้น อภิปรายอย่างสุภาพว่า…การปฏิบัติงานและการบริหารงานของรัฐบาลนี้ เป็นการกระทำที่สวนทางกับความรู้สึกและความประสงค์ของประชาชน จึงขอให้พิจารณาตัวเอง ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น

คำอภิปรายของนายทหารยังเติร์กก่อให้เกิดมติมหาชนอย่างท่วมท้น หนังสือพิมพ์ขานรับด้วยความสุภาพเพราะเกรงว่าจะโดนข้อหาโดนสั่งปิด

…เพียงแต่เรียกร้องให้รมต. ปม. รับผิดชอบ

ที่สำคัญ ในวันนั้น หลังจากคำอภิปรายของนายทหารยังเติร์ก…
มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งรวมตัวกันไปแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” กับรัฐมนตรีมหาดไทย

แต่หาได้ระคายเคืองสำนึกของรมต.ผู้นั้นก็หาไม่…

กระแสการเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกมีมากขึ้น ๆ จนถึงขั้นคณะปฏิรูปได้เสนอแนวทางให้แก่รัฐบาลหอยคือ

1. คณะรัฐบาลพณฯหอยลาออกไป

2. ให้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ และ

3. รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยจะต้องพ้นตำแหน่งในทันที

ทั้งนี้ให้พ้นตำแหน่งในเวลา 17.00 น. แต่ครม.รัฐบาลหอย ถือคติ”เลือดสุพรรณ” มาด้วยกันไปด้วยกันจึงประชุมกันแล้วยืนยันยังคงไม่ลาออกหรือปรับปรุง ครม.

หลังจากนั้น รมต.จืด ออกมาให้ข่าวหนังสือพิมพ์และนำมาออกทางวิทยุ ว่า รัฐบาลจะยังบริหารราชการแผ่นดินต่อไป

หลังจากข่าวประกาศออกไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง ทหารภายใต้การนำของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนะนท์ก็เข้ายึดอำนาจ

ประกาศทำการปฏิวัติขับไล่รัฐบาลเผด็จการออกไปให้พ้นทำเนียบ นั่นคือจุดจบของ “รัฐบาลหอยเน่า” ตั้งแต่ วันนั้นเป็นต้นมา

“ทหารเก่า” ให้คำจำกัดความไว้น่าฟังว่า…”มาเพราะปฏิรูป…ไปเพราะปฏิวัติ”
  เชื่อมั๊ย …มีรายงานเรื่อง รมต.ปม. ไปแก้ภาพพจน์กรณี 6 ตุลา 16 ที่เมืองนอก บอกชาวต่างประเทศที่สามัคคีสมาคม และสำนักงานแถลงข่าวไทยในกรุงลอนดอนตีพิมพ์คำแถลงว่า เมื่อ 9 กย. 20 มีถ้อยคำของ รมต.ปม. ตอนหนึ่งว่า         

“…มีคนถูกฆ่าตาย มีคนถูกจับมาแขวนคอแล้วเอาเก้าอี้ฟาด มีคนถูกจับมาวางบนยางรถยนต์เอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาตายไปจริง ๆ ไม่มีใครปฏิเสธได้ เหตุการ์เกิดขึ้นกลางในเมืองที่สนามหลวง หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์…มีคน 4 คนถูกแขวนคอถูกฟาดด้วยไม้ ถูกถ่ายรูปประจานไปทั่วโลก แล้วมีคนถูกเผาตายไปจริง ๆ …ไม่มีปัญหาเลยครับมีคนชาติอื่นคือคนเวียตนามเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยจำนวนหนึ่ง …การเผาคนกลางเมืองนั้นไม่ใช่ธรรมเนียมของคนไทย แต่การประท้วงด้วยการเผาตัวกลางเมืองนั้น เป็นธรรมเนียมของคนเวียตนามทำกันอยู่เสมอ…
แต่หลักฐานที่เราเก็บมาได้อันหนึ่งซึ่งมันจะเผาทั้งหมด ให้คนตายนั้นเผาได้ แต่มันจะเผาเหรียญเล็ก ๆ รูปโฮจิมินท์ ซึ่งเก็บได้ในกองกระดูกนั้นมันเผาไม่ได้ เป็นหลักฐานที่เราวิเคราะห์ได้ว่า นี่เขาต้องการทำลายหลักฐานของคนชาติอื่น…” ( หนังสือพิมพ์มิตรไทย ฉบับที่ 4 หน้า 2 )…

เชื่อมั๊ยครับ…

ผมจะพิมพ์ไปในประเด็นที่ผมสนใจนะครับ ใครจะนำไปอ้างอิงก็ไม่มีปัญหา…
เพราะเรื่องเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เป็นหนังสือให้อ้างอิงอยู่แล้ว

ที่สำคัญ คุณวีระ มุสิกพงษ์ คนเขียนเรื่องนี้ ก็มีตำแหน่งสำคัญในพรรคไทยรักไทย ด้วยซีครับ หากมีข้อสงสัยไปถามท่านได้นะครับ…

***************************************** 

*****************************************
“คึกฤทธิ์วิจารณ์สมัคร”

เชื่อมั๊ย…มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ที่วงการต่าง ๆ ยกให้เป็น “ปราชญ์” ผู้หนึ่ง แม้จะถูกพาดพิงหลายครั้งหลายคราจาก รมต. ปม.

หรือบางทีก็โดน “จืด ข้าวบูด” ลำเลิกเบิกประจานด้วยคำว่าว่า “ไอ้แก่หัวหงอก” แต่ท่านก็เมตตาด้วยการไม่ถือสา ไม่ตอบโต้

จะว่าไปหนังสือ “รัฐมนตรี ปม.” ที่ “ทหารเก่า” เขียนขึ้นนั้นก็มีสาเหตุจากหนังสือ “สันดานหนังสือพิมพ์” ของ รมต.ปม.ได้กล่าวหา “ไอ้แก่หลายนามปากกา” เอาไว้เยอะ

คนที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำในยุคนั้น ย่อมรู้โดยสามัญสำนึกว่า “ไอ้แก่หลายนามปากกา” ที่ถูกกล่าวหาก็คือ “ทหารเก่า” แห่งสยามรัฐ นั่นเอง

…………………*********…………….

ในคำวิจารณ์สมัคร หนังสือ “สันดานรัฐมนตรี ปม.” มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ( บันทึกไว้ด้วยลายมือของท่านเอง… หากผมคัดลอกมาผิดพลาดบกพร่องต้องขออภัย ) เขียนไว้ว่า…..

“ทหารเก่า” หรือ คนแก่หลายนามปากกาผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ใด้รู้จักหรือสมาคมกับผมมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่ยังหนุ่ม ๆ ด้วยกันและยังมีนามปากกาน้อย มาจนแก่และมีหลายนามปากกา

ผมเคราะห์ดีที่ไม่เคยใช้นามปากกาแต่แรก มิฉนั้นก็คงจะเป็นคนแก่หลายนามปากกาเช่นเดียวกัน

หนังสือเรื่อง”สันดานรัฐมนตรี ปม. ” เล่มนี้ ผมเข้าใจว่าเขียนตอบโต้ หรืออย่างน้อยก็ได้รับความดลบันดาลใจจากหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ได้พิมพ์จำหน่ายไปแล้ว เกี่ยวกับสันดานคนหนังสือพิมพ์ หนังสือเล่มนั้นท้าทายให้คนโต้ตอบ
ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นหนังสือเล่มนี้ และหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่กำลังมีคนเขียนอยู่และจะเขียนกันต่อไป…

ผมเองด้วยความสัตย์จริงใจไม่ชอบจองเวรจองกรรมกับใคร ใครมาทำอะไรให้ในทางที่ไม่ดี เช่นว่าร้ายหรือกล่าวหาในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงแล้ว ก็มักจะงดให้เสียด้วยการไม่โต้ตอบ และไม่ถือสาหาเรื่อง ไม่ฟ้องหมิ่นประมาท ทั้งที่ควรจะฟ้องหมิ่นประมาทกันได้ หลายสิบหลายร้อยครั้งแล้ว….

สำหรับคุณ “ทหารเก่า” ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาจนแก่ไปด้วยกัน ผมจึงไม่อยากให้จองเวรกับใคร แต่เรื่องเกียรติยศชื่อเสียงของคนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละคนจะต้องรักษาเอาเอง เพื่อนฝูงจะเข้าไปเกี่ยวข้องห้ามปรามก็ไม่ได้ ผมก็ต้องปล่อยตามใจ ความจริงก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำว่าจะเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมรู้เอาตอนที่ผู้เขียนเอาหนังสือมาส่งให้เล่มหนึ่ง แล้วบอกว่าช่วยเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ให้ด้วย

เมื่อหนังสือเล่มนี้เป็นการตอบโต้ ก็ย่อมจะมีคนแยกออกเป็นสองฝ่าย ในการที่ผมจะเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ผมต้องตัดสินใจว่าผมจะอยู่ฝ่ายใด

การตัดสินใจนี้ไม่ยาก เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องอยู่ฝ่าย “ทหารเก่า” อยู่วันยังค่ำ เพราะ “ทหารเก่า” กับผมคบกันมานานแล้วหลายสิบปี เขียนหนังสืออยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีหลายคนนึกว่าผมกับ “ทหารเก่า” เป็นคน ๆ เดียวกัน

การคบหากันมาเป็นเวลานานหลายสิบปีนั้นย่อมจะทำให้คนเห็นใจกัน รู้ดีรู้ชั่วของกันและกัน ตลอดเวลาหลายสิบปีนี้ ทั้ง “ทหารเก่า” และผมก็คงจะรู้ดีรู้ชั่วกันอย่างคนอื่นทั่ว ๆไป มิใช่แต่จะรู้ดีไปหมด ชั่วไม่เห็น แต่เหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์คงอยู่มาได้ตลอดนั้น ก็เพราะความรู้ดีและความรู้ชั่วนั้นยังก้ำกึ่งกันอยู่ หรือดีมีส่วนมากกว่าชั่ว ถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้ชั่วของอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่าดีแล้ว ก็คงจะคบกันต่อไปไม่ได้แน่นอน

“ทหารเก่า” กับผมใช่ว่าจะไม่เคยมีเรื่องผิดพ้องหมองใจกัน ความจริงมีมากพอ ๆ กับคนอื่น แต่ความผิดพ้องหมองใจกันนั้นก็ไม่ถึงกับทำให้ต้องตัดสัมพันธ์กัน เพราะ “ทหารเก่า” ไม่เคยทำอะไรที่เกินขีดของความเป็นมิตร์

“ทหารเก่า” ไม่เคยว่าร้ายผมด้วยความหวังร้าย ถ้าจะว่าร้ายก็ว่าไปตามนักวิจารณ์ ย่อมจะมีความเห็นว่าอย่างใดอะไรชอบเป็นของตนเอง

“ทหารเก่า” ไม่เคยมีเจตนาจะให้คนอื่นเกลียดชังผม และไม่เคยทำให้ผมเสียหายด้วยกลอุบายใด ๆ เลย

ไม่เคยโกงเลือกตั้งผม

ด้วยเหตุที่ผมเห็นแก่มิตร์ ผมรับเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ผมก็ต้องเขียนไปในทางที่ดี

“ทหารเก่า” เป็นนักข่าวการเมืองมาตั้งแต่แรกเริ่ม เดี๋ยวนีก็ยังเป็นนักข่าวการเมืองและเป็นนักเขียนนักวิจารณ์การเมือง ด้วยเหตุนี้ “ทหารเก่า” จึงมีความรู้ มีประสบการณ์ และมีความชำนิชำนาญในทางการเมืองมาก นอกจากนั้นระยะหนึ่ง “ทหารเก่า” ยังเคยเข้าไปทำงานด้านหนังสือพิมพ์ให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ จึงรู้เรื่องราวของพรรคนั้นอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนหนังสือพิมพ์อื่น ๆ

ด้วยเหตุนี้เหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่ “ทหารเก่า” เล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้จึงเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริงและน่าสนใจมาก มีบางเรื่องที่ผมเองไม่เคยรู้มาก่อน และต้องอ่านด้วยความสนใจเป็นพิเศษ

นอกจากนั้น “ทหารเก่า” ยังได้ทำงานในหนังสือพิมพ์สยามรัฐติดต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่ “ทหารเก่า” นำมาเขียนไว้จึงเป็นความจริงอีกด้านหนึ่ง

ผมได้กล่าวมาแล้วว่าหนังสือเล่มนี้ต้องการตอบโต้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายนั้นจะท้าทายมาด้วยความจริงเพียงไรผมไม่ทราบ ผมทราบแต่ว่า “ทหารเก่า” ได้เคยตอบโต้ด้วยความจริงอันมีหลักฐานพิสูจน์ได้ทั้งสิ้น

ขอท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง

ลายเซ็นต์

มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

หมายเหตุผู้เขียน…

ในช่วง มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปตั้งพรรคกิจสังคม… “ทหารเก่า” ก็เคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล “เงินผัน” ของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช …ที่สำคัญ รัฐบาลแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก

แต่ไม่เคยปรากฎว่า รัฐบาลเงินผันของมรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จะฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ฉบับใด หรือ คนใดในฟากหนังสือพิมพ์ …************************************

( หมายเหตุ ต่อไปนี้เป็นสำนวนผมเอง ซึ่งเรียบเรียงจากข้อเขียนของ “ทหารเก่า”และมีสำนวนของผมแทรกลงไปบ้าง เพื่อให้มีรู้สึกร่วมสมัย )***********************************
ประเดิมเริ่มเรื่อง ผมคงไม่ลงลึกไปถึง ประวัติชีวิต “เจ้าชายห่อหมก” ผู้ดีตกยากลูกพระยานาหมื่นนะครับ   

เพราะคนเราไม่ว่าจะมาจากครอบครัว ตระกูลสูงเพียงใดก็ตาม เรามักได้ยินว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อตระกูล”

ดังนั้น ผมคงไม่ยอมรับว่า รมต.ปากหมาน ผู้นี้ มีรากเหง้ามาจากพระยานาหมื่น แต่ตามประวัตินั้น ก็ต้องยอมรับ เพราะพี่น้องเค้าล้วนเป็นใหญ่เป็นโต แต่ไม่ “ขี้โม้”เหมือนคน ๆ นี้

เอาแต่เพียงว่า ตอนเจ้าชายห่อหมกตกยากนั้น มีหน้าที่ “ลูกที่ดี” ต้องนำ “ห่อหมก” ตระเวณออกขายหารายได้มาจุนเจือครอบครัว จะด้วยเหตุนี้กระมัง อาการ “ปากหมาน” จึงติดนิสัยอันถาวรมาจนแก่เฒ่า

จะด้วยความขาดแคลนหรือ “ความโลภ” ที่มีมากกว่ามนุษย์ปุถุชนไม่ทราบได้ แต่”นิสัยอันถาวร” เรื่อง “ความโลภ” ก็ส่อแววมีบันทึกไว้ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษา

ว่ากันว่า รมต. ปม. สมัยที่เรียนในสำนักกฎหมายแถว ๆ ท่าพระจันทร์นั้น ถือว่าเป็น “คนดัง” มากคนหนึ่ง ในฐานะที่อยู่ในชมรมปาฐกถาและโต้วาที

การจัดกิจกรรมในยุคเผด็จการทหารนั้น เสรีภาพในการสื่อสารแม้จะถูกจำกัดภายนอกมหาวิทยาลัย แต่สำหรับสังคมมหาวิทยาลัยนั้น เสรีภาพในการพูดการเขียนยังพอมีได้ ในระดับหนึ่ง

การเชิญผู้มีชื่อเสียง ที่เรียกว่า “ปากกล้า” มาอภิปรายในรั้วมหาวิทยาลัย มักจะได้รับความนิยม ยิ่งผู้อภิปรายจากค่าย “สยามรัฐ” นั้น ไม่ต้องพูดถึงจัดทีไรคนตรึมเมื่อนั้น

นิสิตนักศึกษาหรือครูบาอาจารย์ จะมีคำพูดฮิตติดปากกันว่า “วันนี้คุณอ่านสยามรัฐหรือยัง”

ในการจัดอภิปรายครั้งสำคัญนั้น เมื่อได้ติดต่อ “นักพูดแม่เหล็ก” เรียบร้อยแล้ว แววแห่งการโกงก็ฉายออกมา นั่นคือระบบ”พิมพ์บัตร 2 ชุด”

การกระทำเช่นนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับเพื่อน ๆ นักศึกษามาก เพราะเกรงว่าหากปล่อยบัตรออกไปแล้ว มีคนนำบัตรผ่านประตูมาแสดงตัวจะไม่มั่วกันหรือ

เจ้าชายห่อหมกผู้เติบใหญ่มาเป็นนักศึกษาคนดัง ก็อธบายว่า “สำหรับบัตรแข็ง เราก็เอาไปขายให้ผู้หลักผู้ใหญ่ คนมีชื่อเสียง ท่านเหล่านั้นแม้จะซื้อบัตรไปแล้ว ก็มักไม่มาร่วมกิจกรรม ส่วน บัตรอ่อน ที่ตระเวณออกขายในมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็ไม่ต้องห่วง เพราะเด็ก ๆ มักจะไม่พิถีพิถันอยู่แล้ว เลขบัตรที่นั่งก็ไม่ได้ลงเลข ใครมาก่อนนั่งก่อน ใครมาหลังนั่งหลัง ถ้าคนมาล้นหลาม ก็ให้เตรียมต่อลำโพงออกมาข้างนอก ให้นั่งฟังตามสนามหญ้าก็ได้

ที่สำคัญ หอประชุมไม่มีแอร์ ใหนจะต้องไปทนกับกลิ่นบุหรี่ในหอประชุม สู้ออกมานั่งฟังตามสนามลมเย็น ๆ ไม่ดีกว่าหรือ

และแล้วการจำหน่ายบัตร 2 ชุด ก็ดำเนินต่อไป ผู้คนที่มาล้นหลามในวันนั้นก็ต้องนั่งริมสนามหญ้า ตามที่เจ้าชายห่อหมกวางแผนไว้

แต่ไม่มีใครทราบว่า เงินที่ได้จากการขายบัตร นำเข้ามาใช้ในกิจกรรมนักศึกษามากน้อยเพียงใด หรือนำไปเข้ากระเป๋าใคร หรือนำไปแบ่งให้ใครบ้าง

นี่คือแววขี้โกงที่ฉายมาตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มวัยละอ่อน

อีกเรื่องนึง เกี่ยวข้องกับ “ฟุตบอลประเพณี” งานแบบนี้ผู้ดูแลคือ ประธานเชียร์ของทั้งสองมหาวิทยาลัย ปีนั้นประธานเชียร์ฝั่งลูกแม่โดมชื่อ วิทยา สุขดำรงค์

แน่นอนในงานแบบนี้ ย่อมมีการพิมพ์ ” สูจิบัตร” เพื่อแจกในงาน โดยมีการ “หารายได้” จาก “สปอนเซอร์”

งานแบบนี้มักจะใช้เด็กปีหนึ่งเป็นผู้วิ่งเต้นและใครหาได้จะต้องได้ “เปอร์เซ็นต์” จากค่าโฆษณา 20 %

งานนี้ก็ตามฟอร์ม เจ้าชายห่อหมกเข้าตีสนิทประธานเชียร์ และขอรับหน้าที่ ทำสูจิบัตร โดยให้เด็ก ๆ วิ่งหาโฆษณาเมื่อเก็บเงินได้มาแล้วเจ้าชายห่อหมกหาได้จ่ายให้เด็ก ๆ ตามกติกาไม่ ท่านเล่นเรียกเด็ก ๆ มาแล้วก็เลี้ยงข้าว 1 มื้อ เป็นอันจบกัน

เด็ก ๆ ปีหนึ่งหรือจะกล้าหือกับรุ่นพี่ผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งโดนลีลากล่อมลิงหลับเข้าแบบนั้นเด็กก็คือเด็ก

ทีนี้เห็นหรือยังว่าแววของท่านมันค่อนข้างแจ่มใส จนคนตาบอดก็ทำท่าจะมองเห็นกันเลยทีเดียว

เรื่องแบบนี้ ลอง ๆ ถามที่ผู้เฒ่าผู้แก่วัย 70 -71 เห็นจะไม่ผิดหวัง

อ้อ…คุณมานิจ สุขสมจิตร…คนร่วมสมัยแห่งไทยรัฐอดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์ น่าจะยืนยันเรื่องพวกนี้ได้ครับ

********************************

กว่าจะเป็น…”นักเขียนคนดัง”…แล้วก็”ดับ”.

ก่อนที่จะมาเป็น “นักการเมือง” นั้น ต้องยอมรับว่า “หมัก” เป็นคนเขียนเก่ง พูดเก่ง มีไหวพริบปฏิภาณ ชนิดที่เรียกว่าสุดยอดนักพูดคนหนึ่ง

ความจำของหมัก บางทีก็มองดูว่ายอดเยี่ยม…แต่พอจับให้พูดอีกครั้ง “ตัวเลขหรือข้อมูล” มักจะไม่เหมือนเดิม

เคล็ดวิชาแบบนี้ เป็นต้นแบบให้นักพูดรุ่นน้องอย่าง “เหลิม ดาวเทียม” ยังต้องไล่ตามมาห่าง ๆ

ทีนี้ก่อนที่จะมาโด่งดังในอาชีพนักการเมืองนั้น หมักเริ่มอยากมีชื่อเสียงในทางขีด ๆ เขียน ๆ บ้าง เพราะปกติ นักพูดเก่ง ๆ หากศึกษาเรื่องกลวิธีการเขียน การเล่าเรื่อง จะทำได้ไม่ยาก ยิ่งระดับนักพูดกล่อมลิงหลับแบบหมัก การจะเป็น”นักเขียนดัง” ย่อมมิใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

ในสมัย 2511-2516 นั้น เรียกกันว่าเป็น “ยุคเผด็จการ” จะหาหนังสือพิมพ์ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนั้นหาได้ยากยิ่ง เพราะส่วนใหญ่จะแหยง ๆ กันซะมากกว่า

ดังนั้น นอกจากหนังสือในรั้วมหาวทยาลัย อาทิเช่น “สังคมศาสตร์ปริทรรศน์” ซึ่งพิมพ์ที่โรงพิมพ์สมาคมสังคมศาสตร์ นั้น ถือว่าเป็น “สุดยอดหนังสือเชิงวิชาการแห่งยุคสมัย” แต่เสียดายที่ออกแค่เป็น “รายเดือน” ความโหยหาของบรรดา”นักอ่าน” จึงรู้สึกไม่เพียงพอ

เมื่อหันมามองหนังสือพิมพ์รายวัน ก็จะมี 2 ประเภท พวก “หัวสี” ซึ่งเล่นข่าวชาวบ้านเป็นหลัก การเมืองนั้นมักจะซ่อนอยู่ “หน้าใน”

จะมีอีกประเภทหนึ่ง เราเรียกว่าหนังสือ “หัวขาวดำ” อาทิเช่น สยามรัฐ -ประชาธิปไตย ประมาณนี้

สยามรัฐนั้น เป็นหนังสือ “กรอบบ่าย” คือกว่าจะพิมพ์เสร็จออกจำหน่ายก็เป็นเวลาบ่าย ๆ แล้ว ไม่เหมือนพวก “หัวสี” ที่ออกตั้งแต่เช้า

ว่ากันว่า เพราะต้องการให้ข่าวทันสมัยทันเหตุการณ์ จากข่าวการเมือง ซึ่งมักจะมีการให้สัมภาษณ์ในตอนเช้า แล้วนักข่าวจะรีบเข้าโรงพิมพ์ เขียนข่าวกันสด ๆ เพื่อตีพิมพ์ช่วงบ่ายนั้นแล้วออกจำหน่ายทันที

ข่าวทีวีนั้นมีเวลาเดียว คือ 20.00 น. หรือไม่ ข่าววิทยุ ก็จะมีแค่ช่วง เช้า กับ 20.00 น. เท่านั้น

ในยุคนั้น นิสิตนักศึกษา จะเท่หรือไม่เท่ ต้องดูว่า “คุณอ่านสยามรัฐ” หรือเปล่า…ใครเหน็บหนังสือสยามรัฐ ติดไปในปึกหนังสือ นั่งอ่านรอรถเมล์ หรือ บนโต๊ะหลังคณะ นี่ถึงจะเรียกว่า “ปัญญาชน” ตัวจริง

นักเขียนในค่ายสยามรัฐนั้น ได้รับความนับถือเป็นอย่างสูง ในฐานะเสมอเพียง”ผู้อ่าน” อย่างผม จึงมองว่าใครมีชื่อเป็น “นักเขียน” ในค่ายนี้ต้องถือว่าสุดยอด เพราะนอกจากจะมี สยามรัฐรายวันแล้ว ยังมี “สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์” อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือแนว”การเมือง” อันเป็น “ต้นแบบ” ของ มติชนสุด ฯ เช่นปัจจุบัน

ส่วน”รายเดือน” ผมไม่แน่ใจว่า “ชาวกรุง” จะอยู่ในค่าย สยามรัฐด้วยหรือเปล่า…เรื่องมันนานเกือบ 40 ปีแล้ว…ระลึกชาติผิดก็ต้องขออภัย

นิสิตนักศึกษาหรือ “นักเขียนหน้าใหม่” ที่หลงไหล “กลิ่นน้ำหมึก” ต่างมุ่งหวังที่จะขอมีข้อเขียนในสยามรัฐซักครั้งในชีวิต ยิ่งหากได้เป็นนักเขียนประจำนี่ต้องถือว่า…สุดยอด” กันเลยทีเดียว

และด้วยความที่เป็น “ครู” ของท่าน มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ดังนั้นจึงมีนโยบายสนับสนุน “คนรุ่นใหม่” ให้เด็ก ๆ นิสิตนักศึกษา หรือคนจบใหม่ ๆ เข้าไปเป็น “นักข่าว-นักเขียนฝึกหัด” อยู่เป็นประจำ

ในรุ่น ๆ นั้น “สองกุมารสยาม” สุจิตต์ วงษ์เทศ – ขรรค์ชัย บุญปาน โด่งดังในลีลาของนักเขียนแนวโบราณคดี ก็อยู่ที่นั่น “กาแฟดำ” ซึ่งทำงานในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ก็เป็นนักเขียนประจำที่นั่น ส่วนรุ่นใหญ่นั้นก็มีรุ่น ๆ อาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ ครูบาอาจารย์ทางนิเทศศาสตร์วารสารศาสตร์ ก็เขียนประจำ มีคอลัมน์ ใกล้ ๆกับ “ทหารเก่า” ซึ่งถือเป็น “นักข่าวอาวุโส” ของสำนักพิมพ์นั้น

บรรณาธิการหนวดงามต้อง คุณนพพร บุณยฤทธิ์ ทำหนังสือได้น่าอ่านทั้งฉบับ

หมักก็เป็นคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น จึงเข้าไปสมัครเป็นนักข่าวฝึกหัด ราว ๆ ปี 2515 ( ตามการบอกเล่าในหนังสือของทหารเก่า…ถ้าเป็นปีนั้นจริง น่าจะเป็นเวลาที่ “หมอนั่น” เป็น สมาชิกสภากทม.แล้ว ถ้าให้ผมเดา น่าจะอยู่ในช่วง 2510-2514…ขอตรวจสอบวันเวลาอีกครั้งคงช่วงเวลาสร้างสะพานพระปิ่นเกล้านั่นแหละครับ….ผู้เขียน )

“ทหารเก่า” เล่าว่า ประมาณปี 2515 นั้นอายุอานามท่านก็ 50 เศษแล้ว และมีหลายนามปากกาแล้ว ได้เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราว ๆ ลูกชายคนโต ขึ้นมาสมัครงานโดยให้เหตุผลว่าอยากจะเขียนลงหนังสือพิมพ์สร้างชื่อเสียงบ้าง

ทหารเก่าและเพื่อน ๆ ร่วมงานเห็นว่าน่าสงสาร อยากให้เด็ก ๆ พอมีค่ากับข้าวกลางวันบ้าง เพราะนโยบายของสยามรัฐต้องเปิดหน้าอุทิศ ให้เป็นเวทีฝึกหัดของนักเขียนหน้าใหม่ ๆ ที่อยากหาชื่อเสียงในการเขียนหนังสือพิมพ์ โดยบรรณาธิการจะต้องวิเคราะห์ผู้มาขอฝึกหัดเสียก่อนว่า มีภูมิหลัง กำพืด ตลอดจนนิสัยสันดานตลอดจนเผ่าพันธุ์เป็นมาอย่างไร

ก็ได้ความจากการสอบสวนถึงภูมิหลัง”ไอ้หนุ่ม” ผู้นี้ว่า ภูมิหลังของเขาไม่สุนทรนัก เพราะสมัยที่เล่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยนั้นมีเรื่องอื้ฉาวอยู่บางเรื่อง บางกรณี ซึ่งเป็นเรื่องที่นักศึกษารุ่นเดียวกันรู้ฤทธิ์รู้เดชของเขาดีว่าเป็นอย่างไร และในสถาบันแห่งนั้นแม้จะผ่านมาหลายรุ่นแล้วก็ตาม แต่ยังมีผู้พูดถึงไอ้หนุ่มหมอนี่อยู่เสมอ ๆ

บรรณาธิการสยามรัฐสมัยนั้น ได้รับรายงานการสืบสวนภูมิหลัง และกำพืดของหมอนี่ที่มาสมัครงานแล้วก็อ่อนใจ และไม่เต็มใจที่จะรับไว้เป็นนักเขียน
แต่ในที่สุดกองบรรณาธิการประชุมแล้ว ยอมรับให้เป็นเพียงผู้เขียนเรื่องส่งมาลงพิมพ์ในสยามรัฐได้ตามแต่โอกาสที่จะเขียน เรื่องใดที่ส่งมาและได้รับการตีพิมพ์ ก็รับค่าเรื่อง เป็นเรื่อง ๆ ไป โดยไม่ต้องมานั่งเขียนประจำเหมือนนักเขียนอาชีพทั้งหลาย

ถ้าจะว่าไป ข้อเขียนของ “หมอนั่น” นับว่าโฉบเฉี่ยว กินใจ ดุเด็ดเผ็ดมัน ในระดับมีแฟนตามอ่านด้วยลีลาน่าอ่านและคนอ่านมักคล้อยตาม พอ ๆ กับเวลาที่หมอนั่นจับไมค์นั่นทีเดียว

แม้จะเป็นนักเขียน”ไม่ประจำ” เพราะบรรณาธิการจะพิจารณาให้ลงเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่หมอนั่นกลับเอาไปคุยโม้โอ้อวดว่าเป็น “นักเขียนประจำ” ทั้ง ๆ ที่รับค่าเรื่องที่เขียนเพียงเรื่องละ 50 บาท เท่านั้น และเท่าที่รู้ข้อเขียนส่วนใหญ่ได้ลงเหมือนกัน แต่ลงตะกร้าซะมากกว่าลงในหนังสือพิมพ์

ค่ายสยามรัฐนั้นเป็นค่ายนักเขียนมาตรฐาน มีชื่อเสียงที่สุดในขณะนั้น ใครได้เป็น “นักเขียนประจำ” ถือว่ามีเกียรติมากในสายตานักข่าวนักเขียนด้วยกัน

ครั้นต่อมาเมื่อหมอนั่นเขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐหลาย ๆ เรื่องเข้า หมอนี่ก็ทำตัวตีเสมอกับนักเขียนผู้ใหญ่อาวุโสของหนังสือสยามรัฐ นั่นก็คือ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นั่นเอง

แต่เนื่องด้วยท่านมีเมตตาและถืออุเบกขา จึงให้ความเมตตาหมอนี่ เพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนหนังสือหาชื่อเสียง

ผลแห่งความเมตตาสำหรับคนแบบหมอนี่ วิญญูชนย่อมรู้ดีว่าโดนหมอนี่เล่นงานเอาในภายหลังแทบทุกคน

“ทหารเก่า” นั้นเป็นนักข่าวนักเขียนมาอย่างโชกโชน ย่อมรู้ว่า ใครเขียนหนังสือหาชื่อเสียง ใครเขียนหนังสือหากิน เพราะสายตาเหยี่ยวข่าวสภาอาวุโส มีหรือ กระจิบข่าวหน้าใหม่ ๆ แบบไอ้หมอนั่นจะหลุดรอดสายตาพญาอินทรี เพราะคนรุ่นนี้ย่อมเป็นที่สังเกตได้ไม่ยาก

เรื่องมีอยู่ว่า สมัยนั้นมีการประมูลสร้างสะพานพระปิ่นเกล้า การประมูลก็ย่อมมีหลากหลายบริษัท แต่ผู้ได้รับการประมูลย่อมมีเจ้าเดียว ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่ประมูลไม่ได้ก็ถือว่าเป็นการทำธุรกิจการค้า

แต่ในกรณีนี้ไม่เป็นเช่นนั้น การประมูลครั้งนั้นมีบริษัทหนึ่งได้และอีกบริษัทหนึ่งไม่ได้ แต่การก่อสร้างก็ดำเนินไปจนเกือบแล้วเสร็จ

แล้วก็แปลกกลับมีข่าวไม่ดีออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์สยามรัฐ โดยนักเขียนหน้าใหม่ นามแฝงใหม่ โจมตีผลงานของบริษัทผู้ประมูลสร้างสะพานพระปิ่นเกล้าฯ นั้น

ข้อความที่โจมตีนั้น เป็นข้อความไม่เกี่ยวกับการประมูล แต่เป็นข้อความที่ตำหนิติเตียนถึงการก่อสร้างว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งข้อเขียนนั้นเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาทำลายชื่อเสียงของบริษัทผู้รับเหมาให้เกิดความเสียหายโดยการบิดเบือนจากข้อเขียนนั้น

หากเขียนลงเพียงครั้ง สองครั้งอาจจะผ่านตาไปได้ แต่นี่เล่นเขียนลงซ้ำซากจนคนอ่านเกิดความสงสัยว่า นักเขียนผู้นี้มีเลศนัยอะไร ถึงเขียนเรื่องเดียวซ้ำซากอย่างนั้น

“บรรณาธิการ”จึงมาปรึกษากับ “ทหารเก่า” ว่า จะเอายังไงดี เพราะเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิด และอาจเกิดความเสียหายกับหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์หลักที่มีคนเชื่อถือมาก และขอให้ “ทหารเก่า” ช่วยดูว่าหมอนี่มีเจตนาอย่างไร…การเริ่มสอบสวนจึงเกิดขึ้น…

เนื่องจาก โรงแรมรัตนโกสินทร์นั้น มักจะเป็นที่รวมของบรรดาข้าราชการจากหลากหลายกระทรวงปรากฎว่านักเขียนใหม่คนนั้นก็มักจะมาสิงสู่ที่โรงแรมนั้นเป็นประจำ บางทีก็นั่งเขียนต้นฉบับที่นั่น หลังจากเที่ยวทักทายใครต่อใครและบางครั้งก็ใช้สถานที่นั้นเป็นที่นัดพบในเรื่องอันไม่เปิดเผย

จากการสอบสวนสรุปว่า นักเขียนหน้าใหม่ นามแฝงใหม่คนนั้น น่าจะพยายามสร้างอิทธิฤทธิ์ อิทธิพลจากการใช้ข้อเขียนเป็นสะพานไปสู่แผนการอะไรบางอย่าง

ด้วยความคลุมเคลือไม่ชัดเจนในวิถีการเขียนหนังสือ ตลอดจนดูจากการคบหาผู้ทีมาติดต่อในที่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าไว้วางใจ

เมื่อนำมารายงานแก่บรรณาธิการก็ปรากฎว่า หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฎ “ข้อเขียน” ของหมอนั่นใน “สยามรัฐ” อีกเลย เมื่อไม่มีข้อเขียน ก็ย่อมไม่มีรายได้ และไม่อาจสร้างอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชจากปลายปากกาในค่าย “สยามรัฐ” อีกต่อไป

หมายเหตุ….เรียบเรียงจากข้อเขียนของ “ทหารเก่า” ซึ่งเป็นที่เชื่อถือของผู้คนในวงการ…
ผู้อ่านก็โปรดใช้วิจารณญาณเอาเองนะครับว่า สมควรเชื่อเรื่องนี้หรือไม่…
*******************
ลุ้ง…เล่มหลังที่วีระเขียน โดนสมัครฟ้องแล้วไม่ใช่เหรอ ผลเป็นไง          *************   ผมไม่แน่ใจครับ เพราะหมักกับคนในแวดวงการเมือง ก็มักฟ้องกันไปมาแต่สำหรับ “ทหารเก่า” น่าจะถือว่าเป็นการตอบโต้ปกติ คงไม่ได้ฟ้องร้องกันส่วนกลุ่มคุณวีระ สว.จ๋อง ( คุณจัตวา ) และ พี่สมชาย( เบิ้ม บางเบิด )ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องทะเลาะส่วนตัวเรื่องหมิ่นประมาท “ยิ่งจริง ยิ่งหมิ่น” นะครับ…เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับการทำงานส่วนที่ผมนำมาเรียบเรียงใหม่ก็พยายามดึงเรื่องเก่ามาลำดับความเท่านั้น และเน้นเล่มของ “ทหารเก่า”ข้อมูลจากเล่มคุณวีระ เอาเป็น “ข้อมูลเสริม” เราก็เล่าเรื่องทำนอง “เขาเล่าว่า” มิได้มีเจตนาให้คนเกลียดชังใครถึงได้บอกผู้อ่านตลอดว่า…ค่อย ๆ พิจารณาและให้ค้นคว้าเพิ่มเติมเพราะใน”เดลิมิเร่อร์” ในยุคหลังจากตกกระป๋องจากตำแหน่ง รมต. มหาดไทย “หมัก” ก็เขียน”มุมน้ำเงิน” เรียกแฟนได้ดีอยู่หลายปีซึ่งมันก็แปลกอยู่เหมือนกัน “หมัก” เขียนจนสามารถมี สส. กทม. เป็นกอบเป็นกำและภายหลังมาพลาดให้แก่พรรคพลังธรรมของมหาจำลองเที่ยวนี้ “มาเพราะปากจัด แต่ก็พลาดเรื่องคุณธรรม”ผมเข้าใจว่ามันเป็นไปตามสัจจธรรมที่ว่า “ใช้ความจริงลบล้างความเท็จ” นั่นเองถ้าถามผมว่าผมเกลียด “หมัก” มั๊ย ผมก็ขอตอบว่า “ไม่” แต่ถามว่าผมเห็นด้วยกับ “หมัก” มั๊ย ผมก็ตอบว่า “ไม่” อยู่อีกนั่นแหละโดย “สันดาน” นั้น “หมักรักจริง เกลียดจริง” โดยเฉพาะ “พรรคปชป.” นั้น หมักแม้จะเกิดจากที่นั่น แต่เมื่อโดนมติขับออกจากพรรค ( หรือ ลาออกเอง? )ย่อมมี “ความแค้นฝังหุ่น” จากปชป. อยู่ดี เพราะพื้นที่หาเสียงหรือฐานเสียง เน้นหนักที่ กทม.เป็นหลักส่วนเรื่อง “คอรัปชั่น” ก็ต้องขอบอกว่า “หมัก” ไม่เคยโดนหนัก ๆ ชนิด “หลักฐานจะจะ” จนขนาดสามารถทำเป็นคดีความได้ส่วนมาก ผู้บริหารระดับสูงก็ทำได้แค่ใช้อำนาจทางบริหาร “ย้าย” หรือ “ปรับออก” เท่านั้นลีลาการบริหารงานของ”หมัก” ผมมองว่าคล้ายคลึงกับ “หน้าเหลี่ยม” คือใช้ช่องว่างของกฎ ระเบียบ กฎหมาย ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเองแบบที่เราเรียกว่า “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย” นั่นแหละครับ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เช่นเดียวกับเรื่อง การใช้งบประมาณสร้างถนนที่จะเล่าจากความเก่าของ”ทหารเก่า” ในเรื่องถัดไป
หมักมาแว้ววว…เที่ยวนี้ คนที่หนักใจ น่าจะเป็น ปชป.แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งเห็นหน้าสมัคร ที่จากแวดวงการข่าว ทีวีไป เพราะมีเตจากการไปวิพากษ์วิจาณ์ “ป๋าเปรม”จนทางช่อง 5 กลัวว่าจะโดนหลอดไฟตกใส่หัวผู้ดำเนินรายการ เลยขอให้หยุดออกอากาศไป โดยไม่มีข้อต่อรองครั้งกระโน้น วงการลือกันให้แซ่ดว่า หมักก็อยู่ในอาณัติของยุทธศาสตร์เล่นงาน“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” นั่นแหละครับ  
*******************************

ความเป็นมาของ “สมัคร สุนทรเวช”        สมัคร สุนทรเวช เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีช่วย เป็นผู้ว่ากทม. เป็นส.ส. เรียกว่าเป็นมาหมดแล้ว หลังจากหมดตำแหน่งทางการเมืองก็มาอาชีพเดิมคือเป็นสื่อจัดรายการ” เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ร่วมกับนายดุสิต ศิริวรรณสมัคร สุนทรเวช เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีช่วย เป็นผู้ว่ากทม. เป็นส.ส. เรียกว่าเป็นมาหมดแล้ว หลังจากหมดตำแหน่งทางการเมืองก็มาอาชีพเดิมคือเป็นสื่อจัดรายการ” เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ร่วมกับนายดุสิต ศิริวรรณเจ้าของฉายา”จืด ข้าวบูด” ฉายานี้ได้รับมาอย่างไรต้องไปถามนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมยุคสมัยของเขา คนหนึ่งที่จะพูดได้ดีก็คือ สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติหมาดๆคนนั้นสมัคร สุนทรเวช เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีช่วย เป็นผู้ว่ากทม. เป็นส.ส. เรียกว่าเป็นมาหมดแล้ว หลังจากหมดตำแหน่งทางการเมืองก็มาอาชีพเดิมคือเป็นสื่อจัดรายการ” เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ร่วมกับนายดุสิต ศิริวรรณเจ้าของฉายา”จืด ข้าวบูด” ฉายานี้ได้รับมาอย่างไรต้องไปถามนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมยุคสมัยของเขา คนหนึ่งที่จะพูดได้ดีก็คือ สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติหมาดๆคนนั้นนอกจากนี้ทั้งสองคนยังมีรายการ”สมัคร-ดุสิตคิดรายวัน” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมทและรายการ “ข้อเท็จจริงวันนี้” ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิร์ตซ์ ทั้งคู่ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่”สื่อ”ทั้ง 3 รายการตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป

สมัคร สุนทรเวช เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีช่วย เป็นผู้ว่ากทม. เป็นส.ส. เรียกว่าเป็นมาหมดแล้ว หลังจากหมดตำแหน่งทางการเมืองก็มาอาชีพเดิมคือเป็นสื่อจัดรายการ” เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ร่วมกับนายดุสิต ศิริวรรณเจ้าของฉายา”จืด ข้าวบูด” ฉายานี้ได้รับมาอย่างไรต้องไปถามนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมยุคสมัยของเขา คนหนึ่งที่จะพูดได้ดีก็คือ สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติหมาดๆคนนั้นนอกจากนี้ทั้งสองคนยังมีรายการ”สมัคร-ดุสิตคิดรายวัน” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมทและรายการ “ข้อเท็จจริงวันนี้” ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิร์ตซ์ ทั้งคู่ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่”สื่อ”ทั้ง 3 รายการตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไปเหตุที่บอกว่ามาทำอาชีพเดิมก็เพราะก่อนเข้าสู่วงการเมืองนั้นสมัคร สุนทรเวช เขียนคอลัมน์อยู่ค่าย”สยามรัฐ”ยุคอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้อำนวยการ ใช้นามปากกาว่า”นายหมอดี” (แปลจากนามสกุลของเขาเองคือสุนทรเวช)

สมัครเป็นคนมีฝีปากดี พูดเก่ง สมัยเรียนอยู่นิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ รุ่นเดียวกับชวน หลีกภัย (นิติศาสตร์ 2501) ก็เป็นถึงประธานชมรมปาฐกถาและโต้วาทีของมหาวิทยาลัย เข้ากับภาษิตไทยโดยตรงว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี” ความที่เขาพูดแบบไม่เกรงกลัวใคร ด่าแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ว่าเป็นพวก”เหี้ยแหงแดง” ครั้งหนึ่ง อรุณ วัชระสวัสดิ์ เขียนการ์ตูนล้อว่าสมัครเป็นคนที่สามารถ” ตดทางปาก” ได้ นี่คือความเป็นมาคร่าวของสมัคร สุนทรเวช

ประวัติอีกด้านของสมัคร สุนทรเวช

!!!หมักจมูกชมพู่ โว้ย (จมูกชมพู่ เป็นฉายาเก่าตั้งโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ส่วนฉายาใหม่คือ จมูกหมู )

เอ็งลืมแล้วหรือ ในตอนที่เอ็งกราบตีนจอมพลถนอม กิตติขจร ข้างห้องประชุมใหญ่ของ มธ (ด้านสนามหลวง) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2506 นั้น ซึ่งเป็นวันสถาปนา มธ โดยกราบขอความกรุณาอย่าให้ท่านลบชื่อเอ็งออกจากการเป็นนักศึกษาของ มธ. เพราะเอ็งทะลึ่งหน้า!!! ดันไปเขียนด่าท่านในเรื่องส่วนตัวสมัยที่ท่านยังหนุ่มๆ โดยใช้นามปากกาว่า “ นายหมอดี ” เมื่อเอ็งกราบตีนท่านเสร็จแล้ว เอ็งยังกอดขาท่านไว้แน่นเลย จนท่านยอม โดยที่เอ็งจะต้องกล่าวคำสาบานต่อวัดพระแก้วฯ ว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยว กับเรื่องใดๆของท่านอีก เอ็งจึงกล่าวคำสาบานตามคำบอกของพลโทอำนวย ชัยโรจน์

นับจากวันนั้นไป เอ็งก็เปลี่ยนไปเป็นขวาตกขอบ ประจบสอพลอกับนักเผด็จการทุกรูปแบบ การที่เอ็งเป็นอย่างนี้ก็น่าเห็นใจอยู่หรอก เพราะตอนนั้นเอ็งมันยากจนมาก เป็นลูกพระยาเหม็ดเอาตอนก่อนเปลี่ยนการปกครองเพียงไม่กี่วัน ก็เลยกินแห้ว ต้องวิ่งขายห่อหมกตามตลาดตามข้างถนนแทน แต่เอ็งมันเป็นคนที่ไม่จักการกตัญญูต่อผู้ที่มีพระคุณต่อเอ็งเลย ท่านทหารเก่า (สละ ลิขิตกุล) อุตส่าห์ช่วยให้ นสพ. สยามรัฐลงบทความห่วยๆ ของเอ็ง และยอมควักเงินของท่านเองเพื่อเป็นค่าเขียนให้เอ็งแทน นสพ.สยามรัฐครั้งละ 50 บาท แต่พอเอ็งใหญ่โตขึ้นมาในสมัย รสช เอ็งก็กลับตอบแทนพระคุณของท่านด้วยการด่าท่านว่า “ !!! แก่หลายนามปากกา ” ท่านก็เลยด่าว่าเอ็งกลับไปว่า “!!!ซ่า จอมเนรคุณ ”

สาเหตุที่เอ็งต้องออกจากพรรค ปชป ก็เพราะอาจารย์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้ไล่เอ็งออกไปจากพรรค (ย้ำคำว่า ไล่ออก อีกครั้ง) เพราะเอ็งดันไปอิจฉาคุณสุรินทร์ มาศดิตถ์ ที่ได้เป็น รมต สำนักนายกฯ แต่เอ็งนั้น อาจารย์จะให้เป็นโฆษก(ปรก) เอ็งก็กลับไปด่าท่าน โดยอ้างว่า คุณสุรินทร์ ไม่มีความรู้ เรียนจบแค่ ม 3 เท่านั้น

เอ็งจำได้ไหมในเวลาประชุมโต้วาที เอ็งถูกนายวีระ หนูพงศ์ (มุสิกพงศ์) สอนมวยในการโต้วาทีจนหัวหมุน เข็ดขี้อ่อนขี้แก่กันตลอด รวมทั้งสาวบัญชีนักเขียนใหญ่ก็เคยด่าเอ็งว่า !!!หน้าหมา จนเอ็งต้องวิ่งไปฟ้องกับอาจารย์ผ่อง มิลินทรางกูร ซึ่งเป็นนายกสโมสร มธ. ในขณะนั้น

หมักหมมเอ๋ย !! เอ็งเคยขายเทปปราศรัยของเอ็ง ในตอนแรกๆ ก็ขายดีเหมือนเทน้ำเทท่า แต่มาในตอนหลังๆ ทำไมถึงขายเทปไม่ได้ เพราะชาวบ้านจับได้ว่า !!!ตัวเลขหรูๆต่างๆที่เอ็งอ้างอยู่ตลอดเวลานั้น มันไม่เคยตรงกันเลยสักม้วน เอ็งพูดโกหกตอแห?มาโดยตลอด ซึ่งนายบัญญัติ บรรทัดฐาน (ปชป) เคยด่าเอ็งในเรื่องนี้เอาไว้ จนดังไปทั้งแผ่นดิน และจนเป็นวาทะเด็ดการเมือง คือ “เอ็งเป็นนักโกหกคำโต”… “เอ็งเป็นนักโกหกคำโต” เอ็งยังจำได้ไหมวะ

สุดท้าย เอ็งจงจำเอาไว้ให้แม่นน่ะว่า นายกังฉินนายใหญ่ของเอ็งนั้น จะไม่มีทางแต่งตั้งคนแบบ “โมฆะบุรุษ” อย่างเอ็งให้เป็นประธานวุฒิสภาฯ ตามที่เอ็งคาดหวังเอาไว้หรอก มันหลอกใช้ให้เอ็งเ!!!หอนแสดงความเป็นสัตว์เฝ้าบ้าน ในยามที่หาสัตว์ตัวอื่นยังไม่ได้เท่านั้นเอง.

(จากเว็บไซท์แสดงความคิดเห็นของน.ส.พ.มติชนรายวันโดยคุณ : บำรุง อยู่เฉลิม )

http://www.apacnews.net/spreport/samark264.htm ****************************

Canไทเมือง วันที่ : 31/07/2007 เวลา : 08.32 น.
http://www.oknation.net/blog/canthai
สมัคร สุนทรเวช:ไม่ใช่ปลาหมอตาย
เพราะปากเท่านั้น ทักษิณจะตายด้วย
สมัคร สุนทรเวช เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีช่วย เป็นผู้ว่ากทม. เป็นส.ส. เรียกว่าเป็นมาหมดแล้ว หลังจากหมดตำแหน่งทางการเมืองก็มาอาชีพเดิมคือเป็นสื่อจัดรายการ” เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ร่วมกับนายดุสิต ศิริวรรณ   

เจ้าของฉายา”จืด ข้าวบูด” ฉายานี้ได้รับมาอย่างไรต้องไปถามนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมยุคสมัยของเขา คนหนึ่งที่จะพูดได้ดีก็คือ สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติหมาดๆคนนั้น

นอกจากนี้ทั้งสองคนยังมีรายการ”สมัคร-ดุสิตคิดรายวัน” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมทและรายการ “ข้อเท็จจริงวันนี้” ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิร์ตซ์ ทั้งคู่ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่”สื่อ”ทั้ง 3 รายการตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป

เหตุที่บอกว่ามาทำอาชีพเดิมก็เพราะก่อนเข้าสู่วงการเมืองนั้นสมัคร สุนทรเวช เขียนคอลัมน์อยู่ค่าย”สยามรัฐ”ยุคอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้อำนวยการ ใช้นามปากกาว่า”นายหมอดี” (แปลจากนามสกุลของเขาเองคือสุนทรเวช)

สมัครเป็นคนมีฝีปากดี พูดเก่ง สมัยเรียนอยู่นิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ รุ่นเดียวกับชวน หลีกภัย (นิติศาสตร์ 2501) ก็เป็นถึงประธานชมรมปาฐกถาและโต้วาทีของมหาวิทยาลัย เข้ากับภาษิตไทยโดยตรงว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี” ความที่เขาพูดแบบไม่เกรงกลัวใคร ด่าแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ว่าเป็นพวก”เหี้ยแหงแดง” ครั้งหนึ่ง อรุณ วัชระสวัสดิ์ เขียนการ์ตูนล้อว่าสมัครเป็นคนที่สามารถ” ตดทางปาก” ได้ นี่คือความเป็นมาคร่าวของสมัคร สุนทรเวช

เรื่องเริ่มมาจากเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้จัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การบริหารจัดการภาครัฐตามแนวทางพระราชดำริ เพื่อประเทศไทยในอนาคต” โดยได้เชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวปาฐกถาเรื่อง “แนวทางพระราชดำริสู่การบริหารจัดการภาครัฐ” ความตอนหนึ่งว่า ดีใจที่คนไทยทุกระดับพูดกันถึงเรื่องคุณธรรมและจริย ธรรม สมัยก่อนไม่ค่อยไม่มีการพูดถึงกัน ความเก่ง ความฉลาดเป็นเรื่องที่ดี แต่ความเก่ง ความฉลาดที่ไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม ไม่น่าจะดี

พล.อ.เปรมได้ยกแนวพระราชดำริ 14 ประการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเล่าพร้อมแนะนำให้นำไปปฏิบัติ โดยมีหลายข้อที่น่าสนใจ อาทิ การบริหารจะต้องเป็นการบริหารเพื่อความมั่นคงของชาติ เพื่อความเจริญของประเทศ และเพื่อความผาสุกของประชาชน การบริหารจะต้องไม่เอาประ โยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ของญาติพี่น้อง ประโยชน์ของบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือต้องบริหารด้วยความสามัคคี ทรงเห็นว่าความสามัคคีปรองดองจะนำไปสู่ความร่วมมือและความเข้มแข็ง รวมทั้งจะ ต้องเป็นการบริหารที่ถูกต้อง คือถูกต้องตามกฎหมาย ตามกฎเกณฑ์ เที่ยงธรรม เที่ยงตรง มีประสิทธิภาพ และให้ประสิทธิผลสูง

ทั้งนี้ พระราชดำริข้อ 1-14 ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ผู้บริหารจะต้องอดทน ซื่อสัตย์ ทำความดี หาความรู้ สำนึกในความรับผิดชอบและมีสติมีปัญญา พล.อ.เปรมยังได้ขายความเห็นเพิ่มเติมว่า ผู้บริหารจะต้องมีมาตรฐานเดียวเสมอหน้ากัน ทั่วถึงกัน ต้องไม่มีหลายมาตรฐาน หรือไม่มีมาตรฐานเลย หรือใช่มาตรฐานตามอารมณ์ มาตรฐานตามกิเลส

ขณะเดียวกันนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรีได้ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในห้วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์”สิงห์ดำชนสิงห์ดำ”เหตุเพราะความเห็นขัดแย้งกันในกรณีขับไล่นายกรัฐมนตรี

ต่อมาวันที่ 9 กุมภาพันธ์ทั้งสมัคร สุนทรเวช และดุสิต ศิริวรรณ ก็คันปากในรายการ “เช้าวันนี้..ที่เมืองไทย”ทางททบ.5 มีประเด็นสำคัญโดยสรุปดังนี้

สมัคร – ดูหนังสือพิมพ์พาดหัว “ป๋าเปรมเตือนสติผู้นำ” มีโปรยว่า ยึดมั่นพระราชดำรัส 14 ข้อ คือ ทั้งหมดก็อ่านกันใหญ่ทั้ง 14 ข้อ ส่วนไทยโพสต์ บอกว่า “พลากรอายแทนร่างทรง-ลาออกจากสมาคมนิติเก่าจุฬาฯ” ผมอยากจะออกความเห็นสั้นๆ แต่ต้องออกความเห็นว่า เขากำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน มีไอ้คนหนึ่งกำลังมาไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง ปรากฏว่าสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ เขาก็กระทบกระทั่งกัน มีใครรู้บ้างว่าคุณพลากร ท่านองคมนตรีพลากร ท่านเป็นศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ เขาก็รู้กันในหมู่ท่าน

สมมุติถ้าท่านเฉยๆ ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขา ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ท่านลาออกจากสมาคม เวลานี้ก็กลายเป็นเหยื่อเลย “พลากรอายแทนร่างทรง” เห็นมั้ยฮะ ท่านอยู่ใกล้ใครฮะ….เห็นมั้ยฮะ ตำแหน่งท่านเป็นองคมนตรีน่ะ ผมไม่ได้ว่าอะไรท่านน่ะ ความเคลื่อนไหวของท่านเนี่ย ท่านออกมาทำอย่างนี้ เป็นเหยื่อของหนังสือพิมพ์ เพราะหนังสือพิมพ์แปลเสร็จเลยว่า พลากรอายแทนร่างทรง ท่าน พล.อ.เปรมก็รับเชิญปาฐกถา ปริญญาเอกที่ในมหาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทั้งหมด 14 ข้อ คือ เมื่อประมาณปีก่อน คุณเปรม… ท่านองคมนตรีปาถกฐถา ก็ไม่เป็นปัญหา รออีก 3 เดือนมาปาฐกถา ก็ไม่เป็นปัญหา แต่นี่เขากำลังล่อกัน กำลังจะขับไล่นายกฯ ออกจากตำแหน่ง ไม่มีสิทธิ ไม่มีไอ้นั้นแล้วน่ะ ท่านประธานองค มนตรีมาปาฐกถา เขาก็เอาเป็นเหยื่อเลย มาอ่าน 14 ข้อ (พระราชดำรัส) พออ่านมาแล้ว แปลว่า กระทบใคร กระทบนายกรัฐมนตรี

ดุสิต – คุณสมัครไม่คิดมากหรือ

สมัคร – คิดมากเลย คิดมากเลย เรื่องนี้ ผมคิดเลยว่า ทำไม ทำไม ถึงจะต้อง…. ผมไม่อยากบอกว่า เอากับเขาด้วย บ้านเมืองกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน กำลังจะล่อไม่ล่ออยู่เนี่ย องคมนตรีสองท่านออกมาแสดงอย่างนี้ ทำไม ท่านจะสุจริตใจยังไงก็เรื่องของท่าน สุดแท้แต่ แต่การที่ทำอย่างนี้หนัง สือพิมพ์พาดหัวว่า พลากรอายแทนร่างทรง แปลว่าถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ถูกไหม เห็นมั้ยฮะ เพราะว่าสมาคมศิษย์เก่า เขากระทบกระทั่งกันในปัจจุบัน ฮ่า… แปลว่าไง แปลว่า ท่านเลือกข้างใช่ไหม หรือเปล่า

ดุสิต – คุณสมัครกำลังจะบอกว่า ถูกเอาไปเป็นเหยื่อ

สมัคร – เสียของ… อยู่ดีๆ แหมคือท่านไม่ต้องทำอะไร เฉยๆ แล้วใครจะว่าอะไร แล้วใครจะไปเดือดร้อนกับท่าน แล้วท่านรับไปปาฐกถา เรื่องนี้ อบรมใครล่ะ … อบรมคนเป็นผู้นำแปลว่า ไง ผมจะถามทำไมไม่อบรมคนอย่างสนธิล่ะ

ภายหลังจากนั้นปฏิกิริยาต่อคำวิจารณ์ของสมัคร สุนทรเวช พุ่งกระฉูดขึ้นมาทันทีอาทิเช่นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่กองบัญชาการทหารสูงสุด พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด แถลงว่าได้รับมอบหมายจาก พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นกรณีเร่งด่วนให้ชี้แจงกรณีนายสมัครวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรม ทางกอง ทัพไทยขอเรียกร้องให้นายสมัครแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวที่กล่าวล่วงละเมิดประ

ธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจทหารและประชาชนทั่วไป และเป็นการทำลายความรักสามัคคีของคนในชาติ ทหารในกองทัพรู้สึกกังวลกับการกระทำดังกล่าว เนื่องจาก พล.อ.เปรมนับเป็นปูชนียบุคคลมีคุณูปการต่อประเทศชาติบ้านเมือง ผ่านการพิสูจน์มาเป็นเวลานาน คำปาฐกถาเป็นการน้อมนำพระราชดำรัสมาบรรยายเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ฟัง โดยสุจริตปราศจากอคติและการพาดพิงผู้หนึ่งผู้ใด ทางกองทัพจึงขอให้นายสมัครได้ตระหนักถึงความไม่เหมาะสมในการกระทำครั้งนี้ และขอให้แสดงความรับผิดชอบโดยเร็ว

เมื่อกองทัพเดินหน้าออกกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ทั้งคู่ประกาศยกเลิกการจัดรายการทั้ง 3 ทันทีในวันที่ 13 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป

หลายคนมองว่า สมัคร สุนทรเวช ออกมาปกป้องรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ตลอดเวลา เหตุหนึ่งก็เพราะจะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากทม.ในวันที่ 19 เมษายนศกนี้ หากได้รับเลือกตั้งก็หวังที่จะให้รัฐบาลทักษิณผลักดันขึ้นไปนั่งตำแหน่งประธานวุฒิสภา อันเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะวางมือทางการเมืองโดยแท้จริง ปัจจุบันนายสมัครอายุ 70 ปี เกิด 13 มิถุนายน พ.ศ.2478 หากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกตามเป้าหมายเขาก็จะปลดเกษียณการเมืองตอนอายุ 77 ปี

ทั้งกองทัพและประชาชนออกมาประท้วงสมัคร สุนทรเวช ยังส่งผลกระทบต่อรัฐบาลทักษิณโดยตรงเพราะกลุ่มสนธิและนักศึกษากำลังเคลื่อนขบวนเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ภาพการเชลียร์และปกป้องทักษิณแทนที่จะเกิดผลดีต่อรัฐบาล กลับกลายเป็น”เชื้อเพลิง”ที่ช่วยจุดให้ลุกโชนเร็วยิ่งขึ้นเพราะดันไปวิพากษ์วิจารณ์ประธานองคมนตรีหรือประธานที่ปรึกษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องไม่บังควร

เมื่อสมัคร สุนทรเวช ยุติบทบาททางสื่อเชื่อว่าจะต้องกินแหนงแคลงใจกับรัฐบาลทักษิณตามมาเหมือนกับที่สมัครพูดว่า(การออกมาปกป้องทักษิณ)เป็นการทำคุณบูชาโทษ

การยุติรายการนี้คงไม่เพียงเท่านั้นเพราะกองทัพและประชาชนตลอดจนลูกป๋าที่อยู่ในสมาคมนายทหารนอกราชการต้องการให้สมัคร “ขอขมา” เชื่อว่ารัฐบาลทักษิณก็ต้องการให้สมัคร”ขอขมา”ป๋าเปรมด้วยเช่นกัน เพราะนั่นเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยรัฐบาลทักษิณโดยตรง แต่เชื่อว่าสมัครไม่ทำ สิ่งนี้จะทำให้ทั้งรัฐบาลทักษิณและสมัครตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีต่อไป

เชื่อว่าทักษิณคงไม่มีทางไปบังคับให้สมัคร”ขอขมา”ป๋าเปรม ผู้อ่านจะต้องตั้งคำถามว่างานนี้สมัคร สุนทรเวช รับใบสั่งจากใคร ? ทำไมจึงกล้าหาญชาญชัยออกมาจาบจ้วงประธานองคมนตรี และเชื่อว่าประ เด็นนี้จะเป็น”ลิ่ม”อันสำคัญที่ตอกใส่รัฐบาลให้พังเร็วยิ่งขึ้น – โปรดจับตาดูสถานการณ์ต่อไป 

********************
    

สมัครเป็นที่รักของสื่อมวลชนมาก เลยทำเพลงประจำตัวมาให้ลองฟังนะครับhttp://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000113673      **********************
  เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่าน “อิน” กับข้อเขียนมากเกินไป
ขอยกข้อเขียนของ “กาแฟดำ” มาฝากไว้ที่นี่เพื่อพิจารณาให้รอบด้าน
*******************
ใครคนหนึ่งที่ไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี เพิ่งกลับบ้านวันก่อน โทรศัพท์มาถามผมว่า “เกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองของคุณกับของผม?”          

เขาบอกว่า ถ้าเขาหลับไปห้าปี เพิ่งตื่นขึ้นมาวันนี้ จะตกใจอย่างยิ่งว่าทักษิณ ชินวัตร กับสนธิ ลิ้มทองกุล จะก่อศึกกันได้ดุเดือดถึงขนาดนี้ เพราะก่อนเขาหลับ ทุกอย่างเป็นไปอีกทางหนึ่ง มิตรภาพอันลุ่มลึกกลายเป็นการปะดาบกันได้เพียงนี้อย่างไร

ประเด็นจริงๆ คืออะไรกันแน่? เขาถาม…และขอให้เขียน “คู่มือ” การติดตามข่าวช่วงนี้ในฐานะคนที่ไม่ได้เข้าในสมรภูมิ แต่เป็น “นักข่าวสงคราม” หรือ “war correspondent” หน่อย

ผมก็ได้แต่เพียงบอกในฐานะคนทำข่าว ว่า สิ่งที่เขาควรจะระลึกไว้ในขณะที่ติดตามข่าวก็มี “ข้อพึงระวัง” บางประการเช่น

1.อย่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างว่าคุณเป็นของฝ่ายเขา ก่อนที่คุณจะพิจารณาใคร่ครวญให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า น้ำหนักของแต่ละฝ่ายนั้นมีมากน้อยเพียงใด

2.อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาอ้างว่า “ถูกต้องตามขั้นตอน” ตามกฎหมาย อย่าเชื่อเพียงเพราะด้านหนึ่งออกข่าวในช่องทีวีในเวลาไพร์มไทม์ และอย่าเชื่อเพียงเพราะคนอื่นบอกว่าน่าเชื่อ

3. อย่าเชื่อเพียงเพราะความดุดันของภาษา และอย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็น “โฆษก” ของใคร จะเป็นโฆษกด้านการเมืองหรือกระบอกเสียงด้านศาสนาก็ตาม

4.อย่าฟังเฉพาะเรื่องปัจจุบัน อย่าเชื่ออดีตที่ข้างเดียวนำมาอ้างและอย่าคิดว่า อนาคตจะเท่ากับเอาปัจจุบันบวกกับอดีตเท่านั้น เพราะเดิมพันของเขากับเดิมพันของประเทศอาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

5.อย่าถามว่าใคร “จริงใจกับประชาชน” มากกว่าใคร เพราะนี่ไม่ใช่การประกวดรางวัลคนดีศรีสังคม นี่เป็นการเผชิญหน้าที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ “ชัยชนะ” เบ็ดเสร็จ ซึ่งแปลว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะต้อง “แพ้” แต่ผลประโยชน์ประชาชนอาจจะไม่ได้อยู่ที่กติกาที่ทั้งสองฝ่ายตั้งขึ้นมาเสมือนหนึ่งเราต้องยอมรับ

6.อย่าหวั่นไหวกับข่าวลือว่า ใครจะทำอะไรมิดีมิร้ายด้วยกำลังหรืออำนาจเถื่อน นี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์แห่งการสัประยุทธ์ เพื่อดึงความสนใจของฝ่ายตรงกันข้ามเท่านั้น เพราะใครที่คิดจะใช้กติกานอกระบบ ก็ต้องเตรียมที่จะล่มสลายด้วยกติกานอกระบบเช่นกัน

7. ถามว่าจะเชื่อฝ่ายไหนดี? ตอบว่า อย่ากระโจนเข้าใส่ทั้งตัว, อย่าโหนกระแสข้างใดข้างหนึ่ง…จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ให้ว่า เป็นเรื่องๆ ไป ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยย่อมจะสงวนสิทธิที่จะไม่จำเป็นต้องเป็น “ตัวประกัน” ในกรณีของการที่ทั้งสองฝ่ายถล่มใส่กันอย่างไม่ลืมหูลืมตา

8.เรื่องนี้เกี่ยวกับผลประโยชน์ขัดแย้งส่วนตัวหรือสงครามตัวแทนหรือการต่อสู้ว่าด้วยเสรีภาพของสื่อ? ตอบว่า มีสีดำผสมขาวกลายบวกกับสีเทา เวลาและเนื้อหาของข้อสรุปเท่านั้นที่จะตัดสิน อีกไม่ช้าก็จะได้คำตอบ

9.ถ้าไม่อยากผิดหวัง อย่าคิดว่า นี่คือการปะทะระหว่างฝ่ายธรรมะกับอธรรม ให้ทำใจเสียว่าสถานการณ์อาจจะพลิกผันไปในทิศทางที่ประชาชนอาจจะคาดไม่ถึง และเตรียมตัวเตรียมใจว่าเรื่องนี้อาจจะจบลงด้วยที่คุณต้องอุทานว่า “เฮ้ย, ทำไมจบอย่างนี้ได้หว่า?”

10.อย่าหวั่นไหว, อย่ากลัวอำนาจ, อย่าตกตื่น, อย่าตามแห่…อย่าให้ใครบอกว่า เราเป็นแค่พวกชอบมันส์, เอาแต่เพียงสะใจ, หรือทาสประชานิยมที่ปล่อยไม่ไป เพราะเราถูกปรามาสและเหยียบย่ำมาเกินพอแล้ว

โดย กาแฟดำ [email protected] 

อีกมุมหนึ่งของ นิติมธ. 01 เท็จจริงต้องติดตามค้นหา…
***********************************
ความคิดเห็นที่ 1638          

ไอ้หมักโว้ย

เอ็งลืมตอนที่เอ็งกราบตีนจอมพลถนอม กิตติขจร ข้างห้องประชุมใหญ่ มธ(ด้านสนามหลวง) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2506 วันสถาปนา มธ.

ขอความกรุณาอย่าให้ท่านลบชื่อเอ็ง เพราะเอ็งทะลึ่งหน้าส้น..ไปเขียนด่าท่านเรื่องส่วนตัวสมัยที่ท่านยังหนุ่ม ๆ ใช้นามปากกาว่า นายหม..ดี

เมื่อเอ็งกราบเสร็จเอ็งยังกอดขาท่านไว้แน่นเลย จนท่านยอม แต่ เอ็งต้องสาบานต่อวัดพระแก้ว ว่าจะไม่ยุ่งเกียวกับท่านอีก

เอ็งต้องกล่าวคำสาบานตามคำของ พลโทอำนวย ชัยโรจน์ นับจากนั้นเอ็งก็ขวาตกขอบ สอพลอนักเผด็จการทุกรูปแบบ การที่เอ็งเป็นอย่างนี้ก็น่าเห็นใจ เพราะเอ็งยากจนมาก เป็นลูกพระยาเหม็ดเอาตอนก่อนเปลี่ยนการปกครองเพียงไม่กี่วัน ก็เลยกินแห้ว ขายห่อหมก แทน

แต่เอ็งไม่กตัญญูคน ทหารเก่า(สละ ลิขิตกุล) อุตส่าห์ช่วยให้สยามรัฐลงบทความห่วย ๆ ของเอ็ง และ ยอมออกเงินค่าเขียนให้เอ็งแทนสยามรัฐครั้งละ 50 บาท

แต่พอเอ็งใหญ่ตอน รสช เอ็งกลับแทนคุณด้วยการด่าท่านว่า “***แก่หลายนามปากกา” ท่านก็เลยด่าว่าเอ็งว่า “***ซ่า จอมเนรคุณ”

เอ็งออกจากปชป เพราะอาจารย์เสนีย์ ไล่เอ็งออก เพราะดันไปอิจฉาคุณสุรินทร์ มาศดิตถ์ ที่ได้เป็น รมต. สำนักนายก แต่เอ็งอาจารย์จะให้เป็นโฆษก(ปรก) เอ็งกลับไปด่าท่าน อ้างว่าคุณสุรินทร์ ไม่มีความรู้ จบแค่ ม 3 เท่านั้น

เอ็งจำได้ไหมเวลาประชุมเอ็งถูกวีระ หนูพงศ์(มุสิกพงศ์)สอนมวยในการโต้วาทีจนหัวหมุน เข็ดขี้อ่อนขี้แก่กันตลอด รวมทั้งสาวบัญชีนักเขียนใหญ่เคยด่าเอ็งว่า ***หน้า ห…จนต้องวิ่งไปฟ้องอาจารย์ผ่อง มิลินทาง***ร นายกสโมสร

หมักหมมเอ๋ย เอ็งเคยขายเทปปราศัยของเอ็งตอนแรก ๆ เหมือนเทน้ำเทท่า แต่ตอนหลัง ๆ ทำไมขายไม่ได้ เพราะคนจับได้ว่า***ตัวเลขหรูที่เอ็งอ้างตลอดเวลานั้น มันไม่เคยตรงกันสักม้วน เอ็งพูดโกหกตลอด

นายบัญญัติเคยด่าเอ็งจนดังไปทั้งแผ่นดินจนเป็นคำการเมือง คือ เอ็งเป็นนักโกหกคำโต

เอ็งจำไว้ว่า นายกังฉินจะไม่มีทางตั้งคนแบบ “โมฆะบุรุษ” อย่างเอ็งเป็นประธานวุฒิหรอก มันหลอกใช้ให้เอ็งเห่าแสดงความเป็นสัตว์เฝ้าบ้านยามหาสัตว์ตัวอื่นยังไม่ได้เท่านั้น

นิติ มธ 01
*******

ดุเดือดและรุนแรง ชนิดทีใครโดนด่าหนักขนาดนี้ คงไม่มีหน้าไปเจอผู้เจอคน

******************
ที่จริงเขียนทิ้งๆ ขว้างๆ ตามกระทู้ในราชดำเนินอีกเยอะ
แล้วก็มีผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง เขียนไว้ในเว็บบอร์ด”กรุงเทพธุรกิจ” เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วเป็นการเก็บข้อมูล “ออหมัก” อีกหลายประเด็น ทั้งเรื่อง งบประมาณ “รพช.”
ในสมัย “ป๋าเปรม” ที่มารับงานที่ รมช.มหาดไทยสมัยแรก          

ป๋าเปรมเป็นคนสั่งสอบสวนคน “รพช.” ลูกกะเป๋ง “ออหมัก” จนได้รับโทษ

ลองคิดดู “ออหมัก” จะโกรธ “ป๋า” ขนาดใหน

แถมช่วงที่ “ออหมัก” อยู่กระทรวงคมนาคมสมัยแรก ก็โดนสอบเรื่อง “ค่าเช่ารถ” มีเงื่อนงำอีก

เรื่องของ”ออหมัก” ที่ยุ่งเกี่ยวกับ “ยางมะตอย” นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งตีตราความไม่ชอบมาพากลของ “ออหมัก”

ตั้งแต่เปิดที่ทำการพรรคประชากรไทยที่แรก ก็ใช้สถานที่ของบริษัทยางมะตอย ในสายงานของ “เผด็จการ” รุ่นเก่า แถว ๆ คลองประปา ไงครับ

ความรู้ด้านผลผลิตจากน้ำมัน ทำให้ ออหมัก มาสนับสนุนให้ “ใช้โฟม” ในการทำกระทง โดยให้เหตุผลว่า “เก็บง่าย”

ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์แม่น้ำลำคลอง ต่อต้านหนัก เพราะอยากใช้ กระทงจากต้นกล้วย

นั่นคือเหตุผลทางธุรกิจ และมองดี ๆ ขานี้สนับสนุน “ถุงดำ” ใส่ขยะ จำได้มั๊ยครับ

คนเคยเลว ทุกย่างก้าวที่เดินไป ก็มักจะถูกมองด้วนสายตาสงสัย มีแต่คำถาม

งานสังสรรค์ของ ทรท. ในนามพรรคพลังไทย ครั้งนี้ก็คือ

“ซ้ายไร้เดียงสากับขวาตกขอบ” ซึ่งมาเป็นคำตอบให้”ทุนนิยมเสรี” ชนิดที่มองหา “อุดมการณ์” ที่แท้จริงของนักการเมืองไม่ได้

อย่างที่บอก คนพวกนี้ทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้อำนาจรัฐ

ถ้ามองอย่างกลยุทธ์ของเสี่ยแม้ว นี่คือการตอกย้ำภาพ “ด่าป๋า” อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

เพราะภาพของสมัครที่หาว่า “ป๋าไม่เป็นกลาง” ออกช่อง 5 มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับอมตะวาจาของทักษิณที่เอ่ยถึง

“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ของทักษิณเมื่อวันนั้น

การเชิดชูสมัคร ของไทยรักไทย ก็คือการ “ตอกย้ำ” ขายภาพความไม่เป็นกลางของ “ป๋า” อย่างจงใจทีเดียวครับ 

ข้อมูลเสริมยังมีอีกมาก…หากมีเวลาจะมาอัพเดทอีกครับ
ขอขอบคุณที่ตามอ่านจนถึงบรรทัดนี้
วิถีของนายสมัคร สุนทรเวช นับเป็นนักการเมืองที่มีสีสันที่สุดคนหนึ่ง
ของวงการเมืองไทย หากได้ติดตามและศึกษาอย่างจริงจัง
คนเรานั้นมีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง
นายสมัคร สุนทรเวช เป็นบุคลากรอันมีคุณค่าที่มีประโยชน์อย่างมากมาย
หากใช้ความสามารถอันหลากหลาย เช่นการพูดจาในรายการ “ชิมไปบ่นไป”
หรือหากให้ความคิดเห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

แต่ในทางการเมืองในห้วงที่มีความแตกแยกในสังคมรุนแรง
หากประเทศไทยได้คนแบบนายสมัคร สุนทรเวช มามีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน

ถึงเวลานั้นอะไรๆก็เกิดขึ้นได้

ผมไม่อยากทำนายเหตุการณ์ในอนาคต
แต่อดีตที่ผ่านมา เราอาจทำนายอนาคตอันวุ่นวายได้ไม่ยากนัก

เพราะความยอมหักไม่ยอมงอของนายสมัคร สุนทรเวชนั่นเอง

ใครที่บอกสมัครไม่มีแผล…โปรดดูที่นี่ แล้วไปตรวจสอบ
เหตุเกิดเมื่อ ปี 2526
…………………………………………………..

รพช. กรณีที่ท้าทาย……ใครจะเป็นรายต่อไป ?
…………………………………………………..
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง เขียนบทความชื่อดังกล่าวข้างบน ผมจึงขอนำเนื้อหา มาลงให้อ่าน ดังนี้

“ฮือฮากันมาตั้งแต่วันที่คำสั่งเลขที่ 748/2521 ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการใช้เงินมากกว่าความจำเป็น ของโครงการเงินกู้ ในการพัฒนาชนบท จากธนาคารโลก ของสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม สมัยรัฐบาลเกรียงศักดิ์ 1

สาเหตุที่เรื่องดังกล่าว “โด่ง-โป่ง” ออกมานั้น มีสาเหตุด้วยกัน 2 กรณี คือ

1. การคอร์รัปชัน หรือ ลักษณะของ “เสือนอนกิน” ที่บริษัทที่ปรึกษา “หากิน” อยู่กับหน่วยงานของรัฐ นั้น ทำกันมานานเป็นแรมปี ซึ่งส่งผลให้รัฐต้องเสียหาย และสูญเงินไปกับบริษัทที่ปรึกษาเหล่านี้ จำนวนไม่น้อย รวมทั้งสัญญาที่ “ประโยชน์” ตกอยู่กับบริษัทที่ปรึกษา ภายใต้การรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่ มากกว่าจะผลักดันให้ผลประโยชน์ทั้งหมด ตกอยู่กับการพัฒนาประเทศ อย่างแท้จริง ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทนไม่ได้ และ “โวย” ออกมาในที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

2. เกี่ยวกับกรณีบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา TEC. และ รพช.นั้น นอกจาก TEC. จะเป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา ที่ “หากิน” กับหน่วยงานราชการมานานแล้ว ยัง “โยง” ไปถึงนักการเมืองอย่าง “สมัคร …..” ที่อดีตเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย และเป็นผู้ “อนุมัติ” ในสัญญาระหว่าง TEC. กับ รพช.

ด้วยความ “ดัง” ของนักการเมืองผู้นี้ ในฐานะคนของประชาชน ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับตัวเขา และ “ญาติ” รับผิดชอบโครงการเงินกู้ดังกล่าว จึงพลอย “ดังไปด้วย

ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับโครงการเงินกู้ธนาคารโลกรายนี้ ทั้งหมด คือ

1. นายส. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น ในฐานะผู้ “อนุมัติ” สัญญา ระหว่าง TEC. กับ รพช.

2. นายช. ปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งลงนาม “เห็นควร” กับสัญญาดังกล่าว ฯลฯ

โครงการผูกขาดของ TEC. เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2522 รพช. ได้ขอบอกเลิกสัญญาที่กระทำไว้กับ TEC. เนื่องมาจาก บริษัทวิศวกรที่ปรึกษาดังกล่าว กระทำผิดสัญญา ซึ่งทาง รพช. จะได้มอบให้ทางกรมอัยการเป็นโจทก์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายมากว่า 28 ล้านบาท (ตามสัญญานี้ โครงการจะสิ้นสุดลง ณ วันที่ 6 ก.พ. 2525)

เนื่องจากข่าวนี้ เกิดขึ้นเนื่องมาจากสมัยที่ ออหมัก เป็น รมว.มท. หรือ มท.1 ที่กลายเป็นข่าว เพราะพลเอกเปรม ฯ รมช.มหาดไทย หรือ มท.2 ในรัฐบาลต่อมา สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ดังกล่าวแล้ว และผู้บริหารของ รพช. ก็เคยถูกกล่าวหาเรื่องทุจริต จนถูกดำเนินคดีมาแล้ว แต่ขณะนี้ผมยังนึกชื่อไม่ออก

ลองเอาไปถามออหมักหน่อยครับ….เคยมีเรื่องแบบนี้หรือไม่ ท่าน พลเอกเปรม ได้ตรวจสอบเรื่องนี้จริงหรือไม่

เห็นปากดีนัก เลยลองกระชากลากไส้ออกมาให้ดูเล่น ๆ

ประเภทก้ำกึ่งๆ แบบนี้ ออหมักเค้าถนัดนักละครับท่านผู้ชม…ยังมีอีกเยอะครับ…ไว้ว่าง ๆจะกระชากออกมาให้ดูเรื่อยๆ

แม้แต่เรื่องโฟมวันลอยกระทง…มองให้ดี ๆ ใครมีผลประโยชน์กับพวกขายโฟม….เรื่องแบบนี้มันมีผลข้างเคียง แม้แต่ออกถุงดำมาขายนั่นน่ะ…มันผลประโยชน์ชัด ๆ

บริษัทขายของพวกนี้จะมีกี่บริษัทเชียวครับ ตามดีๆ ก็คงจ๊ะเอ๋…เจอดีเข้าจนได้

เอาเรื่องนี้ไปถามจืดหมักสิ เรื่องจริงมั๊ย
……………………………………………
คุณรู้มั๊ย เมียนายหมัก ทำงานซีพีหลายสิบปี
ผัวขึ้นเป็น รมต. ยังทำอยู่เลย

นายจืดได้ดิบได้ดีมีทีออกอากาศเพราะซีพี ให้โอกาสที่ ยูบีซี

ซีพีเสียประโยชน์เรื่องโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย มีการเจรจาระหว่างนายกอานันท์กับเจ้าสัวซีพี

สมัยนายอานันท์เป็นนายก หั่นเหลือ 1 ล้านเลขหมาย เฉพาะกรุงเทพและปริมณฑลส่วนต่างจังหวัดประมูลใหม่

ถ้าเป็นคุณ..เจ็บใจมั๊ย…ถามแค่นี้ก่อน

นี่เป็นข้อมูลจริง ที่มองข้ามไม่ได้…หรือจะให้กระชากลากไส้ ลิ่วล้อนายทุนออกมาอีก ไอ้ห้อย-ไอ้โหน มันมีภาพต่อต้านคอรับชั่นมาจากใหน

เห็นเช็ดปากแผล็บ ๆอยู่หลายเรื่อง ก็แค่หาโอกาสเอาคืนแค่นั้นเองครับ…ไอ้พวกลิ่วล้อนายทุน แค่แอะปากก็เห็นขี้

ตัวเองนั่นแหละ เผด็จการเต็มร้อย ยังมีหน้าไปชี้คนอื่นเผด็จการ
…………………………………………………..
แน่จริง เปิดปากเรื่อง ออเหลิม ต่อสัญญาช่อง 3 อีก 20 ปีมั๊ยล่ะ

ขณะที่สัญญายังไม่หมดอายุน่ะ

แฉอะไรก็แฉให้หมดดิ…ไอ้ห้อย-ไอ้โหน ปากเหม็นจริง ๆ
………………………………………………………
คนเซ็นต์สัญญาเรื่องโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมายก็ไปเมืองผี…
ด้วยโรคอะไรบางอย่าง…หัวหน้าพรรคเชียวนะนั่นน่ะ เป็น รมต.คมนาคม

ทำไมไม่แฉล่ะ….พอผูกขาดโทรศัพท์ไม่ได้ก็ให้ลิ่วล้อออกมาเห่าหอน เป็นความเจ็บช้ำแต่ปางบรรพ์

เห็นหรือยังว่า ทำไมคนอื่นไม่อยากเอาไม้สั้นไปรันขี้ เพราะสองตัวนี้มันเหม็นทั้งตัว

เวลาฟังขี้ปากพวกนี้ ต้องดูด้วยว่าไอ้คนพรรค์นี้มันมายังไง ไปยังไง ประวัติเป็นยังไง


* สมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีคอลัมนิสต์

นอกจากสมญานามรัฐมนตรีจอแก้วแล้ว ออหมัก ก็ยังได้ฉายาอีกว่า “รัฐมนตรีคอลัมนิสต์ ดังหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ได้จั่วหัวเอาไว้

ผมขอถ่ายทอดเนื้อหาของเรื่องนี้ มาให้อ่าน ดังนี้

“ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ผู้ประกาศย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง และปฏิเสธตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่จะมีการแต่งตั้งเพียงไม่กี่วัน มีรัฐมนตรีที่เป็นนักพูด นักเขียน อยู่หลายคน ที่เคยเป็นคอลัมนิสต์ให้หนังสือพิมพ์ ก็เคย แต่ที่ปฏิบัติตนได้อย่างคงเส้นคงวา เห็นจะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ก่อนหน้าที่จะเป็นรัฐมนตรีฯ นายสมัครเขียนคอลัมน์ประจำอยู่ที่ นสพ.เดลิมิเร่อร์ ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคประชากรไทย (ปชท) ที่เขาเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ และเมื่อเขาเป็นรัฐมนตรีฯ เขาก็ยังเขียนอยู่เป็นประจำ การเขียนคอลัมน์ประจำหน้า นสพ.ของรัฐมนตรีฯ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบขึ้น กับ ผู้ที่เป็นนักเขียน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม (แสป) นั้น ก่อนนี้เขียนประจำอยู่ที่ นสพ.สยามรัฐ แต่เมื่อได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านก็วางมือ ที่วางมือ ไม่ใช่เพราะราชการงานเมือง มาเบียดบังเวลาการเขียนหนังสือของท่าน เพราะผู้ที่มีความรู้ ความสามารถอย่างท่าน คอลัมน์แค่หน้าเดียวนั้น ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีด้วยซ้ำ

การวางปากกาของนายวีระ มุสิกพงศ์ รมช.มหาดไทย อาจจะแตกต่างไปจากกรณีของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะท่านหยุดเชียนที่มติชน ไทยรัฐ ก่อนหน้าที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง (เมื่อปี 2522) ซึ่งอาจจะโดยมารยาทของท่าน เพราะ นสพ.ทั้ง 2 ฉบับนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน แต่เมื่อท่านสอบตก มาทำหนังสือของท่านเอง และมีอันต้องล้มเลิกไป หลังจากที่ท่านร่วมรัฐบาล พล.อ.เปรม ท่านก็ไม่เขียน

สิ่งที่เป็นปัญหาถกเถียงกันอยู่ขณะนี้ คือ มีคนพยายามที่จะให้นายสมัคร สุนทรเวช เอาอย่าง มรว.คึกฤทธิ์ หรืออย่างนายวีระบ้าง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ มรว.คึกฤทธิ์ ก็ มรว.คึกฤทธิ์ นายวีระ ก็นายวีระ และคนอย่างนายสมัคร ก็นายสมัคร จะให้คิด จะให้ทำ จะให้มีคุณธรรม จริยธรรม เหมือนกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้………

อย่างไรก็ตาม นสพ.มติชน ในบทนำ ได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า การที่นักการเมืองคนใด ได้เป็นรัฐมนตรี มิได้หมายความว่า สถานะของเขา จะแยก หรือ หย่าขาดจากความสัมพันธ์ กับ รัฐมนตรีทั้งคณะ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องถือกติการ่วมกัน แต่สภาพที่รัฐมนตรีบางคน เป็นนักเขียนบทความทางการเมือง ก็มีความเป็นไปได้ ที่จะสร้างความอึดอัดให้กับเพื่อนในคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่ง เพราะในที่ประชุม ก็ไม่ได้มีหลักประกันแม้แต่น้อยว่า จะไม่ถูกนำไปขยายทั้งในรูปบทความ และรายงานข่าว ในแบบแทงข้างหลังอย่างไร้ความเป็นลูกผู้ชาย แค่พลเอกเปรม พบกับพลตรีประมาณสองต่อสอง ก็ยังรู้กันเลยว่า ทั้ง 2 ท่านคุยกันด้วยเรื่องอะไร ต่อรองอะไรกันบ้าง ตกลงหรือไม่ตกลง

สิ่งที่หนังสือพิมพ์เป็นห่วงนั้น แท้จริงแล้วเห็นจะอยู่ที่ตัวนายสมัคร สุนทรเวช เองมากกว่า เพราะหนังสือพิมพ์ไม่เชื่อในความมีคุณธรรม ไม่เชื่อในความเป็นลูกผู้ชาย ไม่เชื่อในเกียรติยศของคนอย่างนายสมัคร นั่นเอง

การที่นายสมัครฯ รมว.คมนาคม เขียนหนังสืออยู่ เขาเรียกคอลัมนิสต์บางคน ที่โต้แย้งเขา ไม่เห็นด้วยกับเขาว่า “อั้ยคอลัมนิสต์หน้าโง่” นั่นก็ยิ่งจะเป็นการดีเสียอีก ที่คอลัมนิสต์คนนั้น จะได้ศึกษาหาความรู้ ให้หายจากคำว่า “อั้ยหน้าโง่” และถ้าหากนายนายสมัครฯ เขียนอะไรที่โง่ ๆ เชย ๆ ออกมา เราก็จะได้เรียกเขาได้เช่นเดียวกันว่า “อั้ยรัฐมนตรีหน้าโง่”
…………………………………..
เป็นไงครับ ออหมัก ในสายตานักหนังสือพิมพ์

เค้าไม่เชื่อในความเป็นสุภาพบุรุษมาแต่ใหนแต่ไรครับ

ว่าง ๆ ลองไปค้นที่มติชน หรือ บทนำ ไทยรัฐนะครับ

ความไม่ไว้ใจในความเป็นสุภาพบุรุษของออหมัก…เหลือรับประทานครับ…
ดูคนให้ดูนาน ๆ ดูถึงสันดานถึงจะซึ้งครับ

อีกซักเรื่อง…สมัครกับทิปโก้…ค้ายางมะตอย
…………………………………………………
ยางมะตอยนั้น ก็ต้องนึกถึงนายประสิทธิ์ ทรัพย์สาคร แห่งบริษัทถนอมวงศ์ และบริษัททิปโก้อีมัลชัน และบริษัททิปโก้ แอสฟัลท์ จำกัด

สมัยแม่ชะม้อยกำลังโด่งดัง ก็เคยโอดครวญเรื่องแชร์น้ำมันที่เกิดปํญหาว่า “ม้อยไม่ได้โกง แต่ตอนนี้เงินอยู่ที่คุณประสิทธิ์ จิตต์ที่พึ่ง” ซึ่งกลายเป็นปริศนาให้ขบคิดกันว่า คุณประสิทธิ์ฯ ของชะม้อยนี่ เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หรือว่ามีตัวตนจริง ๆ

บริษัทถนอมวงศ์บริการจำกัด มีความสัมพันธ์กับองค์การเชื้อเพลิง (อชพ) ในเรื่องจัดหาน้ำมันไปขายตามปั๊มถนอมวงศ์บริการ และเกี่ยวพันกับผลผลิตของน้ำมัน คือยางมะตอย หรือยางแอสฟัลท์ที่ใช้ราดถนน นั่นเอง ทำให้ในช่วงปี 2516-2522 บริษัทถนอมวงศ์ได้สยายปีเข้าสู่ธุรกิจยางมะตอย โดยได้สิทธิ์จัดซื้อหายางมะตอย ให้กับกรมทางหลวงประมาณ 25% ของงบประมาณทั้งหมด รวมทั้งยางมะตอยใก้กับกรมชลประทาน และสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) กระทรวงมหาดไทย

แต่ช่วงดังกล่าว บริษัทถนอมวงศ์ ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ดังกล่าวแต่ประการใด ทำให้บริษํทแอสฟัลท์บริการ ของนายชาญ อิสสระ ซึ่งดำเนินการอยู่ก่อน เป็นผู้จัดหาแต่ผู้เดียว

ข. ต้องไม่ลืมว่า บริษัทถนอมวงศ์นั้น มีส่วนพัวพันกับการเมืองอย่างแน่นแฟ้นด้วยดี ชื่อบริษัท ก็มาจากชื่อของจอมพลถนอม กิตติขจร จึงไม่แปลกที่ยุคหนึ่ง สำนักงานพรรคสหประชาไทย (สปท.) ที่มีจอมพลถนอมเป็นหัวหน้าพรรค และ พล.อ.อ.ทวี จุลทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรค จะตั้งอยู่ที่อาคารถนอมวงศ์บริการ

เมื่อปี 2534 ที่ทำการพรรคกิจสังคม ก็เคยมาตั้งอยู่ที่อาคารถนอมวงศ์ แถว ๆ ถนนพิชัย เขตดุสิต เหมือนกัน

เมื่อปี 2529 นายบุญชู โรจนเสถียร ตั้งพรรคกิจประชาคม ก็มาอาศัยชั้น 3 ของอาคารถนอมวงศ์ เป็นที่ทำการพรรค ก่อนจะรวมกับพรรคเอกภาพในเวลาต่อมา

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2533 คนที่ไปหานายประสิทธิ์ ทรัพย์สาคร ก็คือ นายดุสิต โสภิชา ส.ส.อุบลราชธานี พรรค กิจประชาคม จนนายดุสิต โสภิชา กลายเป็น “เหยื่อแห่งชาติ” ที่ถูกเชือดฐานกรรโชกทรัพย์ เพราะไปเรียกรับสินบน นั่นเอง นายดุสิตฯ ตกเป็นจำเลยฐานกรรโชกทรัพย์ และผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม โดยโจทก์ยื่นฟ้องนายดุสิต เมื่อ 24 มี.ค. 2534

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อ 25 ธ.ค. 2533 จำเลยซึ่งเป็น ส.ส.อุบลราชธานี ได้กระทำผิดด้วยการกรรโชกทรัพย์ จากนายสมจิตต์ เศรษฐิน (ลูกเขยนายประสิทธิ์) กรรมการผู้จัดการบริษัททิปโก้ แอสฟัลท์ จำกัด เป็นเงิน 2 ล้านบาท พร้อมรถยนต์กะบะอีก 1 คัน หากไม่ยินยอม จำเลยจะนำเรื่องการทุจริตการซื้อขายยางมะตอยของบริษัททิปโก้ฯ ที่จำหน่ายให้แก่รัฐโดยไม่ถูกต้อง ไปอภิปรายในสภา ทำให้นายสมจิตต์ และนายประสิทธ์ ฯ ประธานบริษัททิปโก้ฯ เกรงกลัว จึงยินยอมมอบทรัพย์สิน ที่จำเลยเรียกร้องให้ แต่ในวันที่ 28 ธ.ค. 2533 จำเลยเดินทางมารับเงิน และรถยนต์ ได้ถูกตำรวจจับกุมตัว พร้อมของกลาง

ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาจำคุกจำเลย 15 ปี จำเลยฎีกาขอให้ศาลยกฟ้อง แต่เมื่อถึงเวลา จำเลยกลับไม่ยอมมาฟังคำพิพากษา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้วถึง 3 ครั้ง ศาลจึงออกหมายจับ เนื่องจากจำเลยมีพฤติการณ์จะหลบหนี และศาลได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยตามกฎหมาย ว่าจำเลยมีหน้าที่ควบคุมการบริหารงานแผ่นดินหรือของรัฐ หรือคณะรัฐมนตรี ด้วยการอภิปราย หรือตั้งกระทู้ถาม เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งข่าวที่หนังสือพิมพ์กล่าวหาว่า ผู้บริหารบริษัททิปโก้ฯ ติดสินบนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อซื้อขายางมะตอย จำเลยมีสิทธิ์พึงกระทำได้ ซึ่งจำเลยอาจเห็นว่า เป็นเรื่องจริง หรือเชื่อว่าเป็นความจริง แต่เป็นการแกล้งกล่าวหา เพื่อใช้เป็นข้ออ้าง ในการข่มขืนใจ ให้ผู้เสียหายยินยอมมอบทรัพย์สินให้เป็นการส่วนตัว

การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานผิดต่อตำแหน่งหน้า ในการยุติธรรม ให้ยกฟ้องความผิดฐานนี้ แต่จำเลยยังคงมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ฎีกาจำเลยฟีงขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลย ฐานกรรโชกทรัพย์ 4 ปี

นายดุสิตฯ หนีไปกบดานที่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี เพิ่งเข้ามอบตัวราวปี 2546 นี้เอง

ต่อมา บริษัทถนอมวงศ์ได้เติบโตก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นับแต่ปี 2522 เป็นต้นมา และในสมัยรัฐบาลเปรม นายสมัคร สุนทรเวช เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สำนักงาน หรือ ที่ทำการพรรคประชากรไทย (ปชป.) ระยะหนึ่ง ก็คือ ชั้น 3 ของอาคารทิปโก้ หลังปั๊ม ปตท. ที่ริมคลองประปา
……………………………………………………………
กลับไปถาม หมัก ซักคำ…มีอะไรกับ ทิปโก้ ถึงไปใช้อาคารของเค้าเป็นที่ทำการพรรคประชากรไทย

เอาไปตรวจสอบนะ กรณีจืดด่า คนหัวหงอก
…………………………………….
“ เช้าวันที่ 4 กันยายน 2520 บรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ ต่างก็ตกอยู่ในอาการตกตะลึง เมื่อได้รับโทรศัพท์จาก พลเอกประลอง วีระปรีย์ เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) และสมาชิกสภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (ธานินทร์) เชิญมาพบที่บ้าน เพื่อรับฟังกรณีที่ได้ให้สัมภาษณ์ไปในเรื่องปากท้องของประชาชน และขอยืนยันว่า “ตนพูดจริง ตามที่ นสพ.ลงข่าวไป แต่ไม่ได้ว่าใคร ผมเองไม่ได้ส่งให้หนังสือพิมพ์แก้ข่าว แล้วไม่รับรู้ด้วย”

เรื่องของเรื่อง เริ่มต้นมาจากเมื่อ 23 ส.ค. 2520 นายดุสิต ศิริวรรณ (จืด ข้าวบูด) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวคำปราศรัยในการประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคมนักธุรกิจการท่องเที่ยว ภาคเอกชน เกี่ยวกับสภาวะบ้านเมือง จนเป็นที่ซาบซึ้งแก่คนทั้งหลายว่า

“…รัฐบาลทราบดีถึงกลุ่มอดีตนักการเมือง กลุ่มพ่อค้า ฉวยโอกาสปล่อยข่าวลือทำลายรัฐบาล ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน แม้แต่พวกฝ่ายขวา(ตกขอบ) ด้วยกัน ก็พยายามกอบโกยผลประโยชน์ ขัดขวางรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา บางคนทำตนเป็นไม้แก่ดัดยาก หัวหงอกแล้วยังพูดทำลายภาพพจน์บ้านเมือง และตำหนิรัฐบาลมาตลอด”

คำพูดอันห้าวหาญของท่านรัฐมนตรีหนุ่ม ทำให้บุคคลหลายฝ่าย พยายามคาดเดากันว่า รมต.ดุสิต หมายถึงใครกันแน่ เพราะมีหลายคนอยู่ในฐานะ “หัวหงอก” อย่าง มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของคอลัมน์ “คลื่นใต้น้ำ” จากสยามรัฐอันลือลั่น ก็เป็นคนหนึ่งที่มีผมสีดอกเลา ยาวเป็นรากไทรดูสวยงาม อย่างไรก็ตาม การคาดเดาก็ไม่มีข้อยุติ เพราะคนที่รู้ดีที่สุด คือตัวคนพูดนั้น ก็มิได้ปริปากแฉออกมา

เมื่อ 30 ส.ค. 2520 ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ผู้อยากรู้เกี่ยวกับปริศนานี้ ก็ไปถามหลายคน ให้ช่วยแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ จนไปถามพลเอกประลอง วีระปรีย์เข้า ท่านก็ได้กล่าวว่า

“ขอให้ระลึกถึงคำกล่าวของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ไว้ให้ดีว่า เป็นใหญ่ จะคิด จะทำอะไร ต้องมีหลักฐานให้แน่ชัด ขอให้รัฐมนตรีซึ่งถือว่า เป็นใหญ่แล้ว ให้ระมัดระวังคำพูดไว้ให้มาก อย่าพูดอะไรโดยไม่มีหลักฐานแน่ชัด ซึ่งไม่เกิดผลดีแก่รัฐบาล และประเทศชาติ ที่จริงแล้ว รัฐบาลน่าจะให้ความสนใจแก่ปัญหาปากท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชน ที่กำลังเดือดร้อน จะเป็นประโยชน์มากกว่า”

พลเอกบุญชัย บำรุงพงษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่มีนักข่าวไปถามเรื่องนี้เข้า ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ที่พัทยา ท่านกล่าวว่า

“การที่ว่า มีคนจะล้มล้างรัฐบาล ก็เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีดุสิตว่า ผมไม่เห็นจะมีใคร เห็นแต่คนหวังดีต่อชาติทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์สัญญา หม่อมเสนีย์ หม่อมคึกฤทธิ์ ก็ตาม”

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงอดีตนายกรัฐมนตรี 2 คน ที่ล้วนแต่ “หัวหงอก”

ทันทีที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์ ข่าวคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกประลอง วีระปรีย์ ในฉบับเช้าวันที่ 31 สิงหาคม 2520 บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ก็ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการที่ปรึกษาเจ้าพนักงานการพิมพ์ ให้แก้ข่าวว่า

“ข่าวที่อ้างว่า เป็นคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกประลอง วีระปรีย์ นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะ พลเอกประลอง มิได้ให้สัมภาษณ์ดังที่ลงพิมพ์ไว้ หนังสือพิมพ์ต้องตีพิมพ์ข้อความขออภัยต่อพลเอกประลอง รัฐมนตรีดุสิต และผู้อ่านไว้ด้วยทุกฉบับ”

เรื่องนี้น่าจะยุติลงได้ตามแบบฉบับของหนังสือพิมพ์ยุคปฏิรูป ที่ถือเอาคำสั่งของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ เป็นเด็ดขาด แต่แล้วคนทำหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย ก็ต้องพบกับความประหลาดใจยิ่งขึ้นอีก เมื่อพลเอกประลอง วีระปรีย์ ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ยืนยันถึงคำให้สัมภาษณ์ของตน ที่หนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์ไปแล้ว พร้อมกับชี้แจงเรื่องการแก้ข่าว ว่า

“เรื่องการแก้ข่าว ผมไม่ได้รับรู้เลย ที่เป็นข่าวว่า ผมแก้ข่าวนั้น อาจเนื่องมาจากว่า ภรรยาของน้องภรรยาผม คือ คุณเพ็ญแข เสนาณรงค์ ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีดุสิต ได้โทร.มาถามว่า พี่ไปว่ารัฐมนตรีดุสิตหรือ ผมก็ตอบไปว่า พี่ไม่ได้ว่ารัฐมนตรีดุสิต แค่นี้เอง ซึ่งคำพูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่ได้พูดอย่างหนังสือพิมพ์เขียนคำว่า “ไม่ได้ว่า” กับ “ไม่ได้พูด” นั้นต่างกัน ที่ผมว่า ผมไม่ได้ว่า นั้น แปลว่า ผมไม่ได้เจตนา หรือไม่มีเจตนาจะไปว่า”

แล้วพลเอกประลอง ก็คุยกับหนังสือพิมพ์อย่างเป็นกันเองต่อไปว่า

“การปฏิบัติงานของตนนั้น ถือหลักว่า ถ้ากลัวแล้วอย่าทำ ถ้าทำแล้วอย่ากลัว และขอให้ช่วยลงคำว่า “ไม่ว่า” กับ “ไม่พูด” นั้น ต่างกัน ให้ตัวโต ๆ ด้วย”

วงการหนังสือพิมพ์ เมื่อได้ทราบดังนี้ ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างกว้างขวาง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่ออภิปรายถึงผลต่อการประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ การอภิปรายครั้งนั้น ก็ได้สรุปตรงที่ว่า สถาบันผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์ ทั้ง 5 แห่ง จะร่วมกันทำหนังสือถึงท่านนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้พิจารณายกเลิก คณะกรรมการที่ปรึกษาเจ้าพนักงานการพิมพ์ และให้มีหนังสือถึงประธานที่ปรึกษาเจ้าพนักงานการพิมพ์ คือ นายประหยัด ศ.นาคะนาท ให้พิจารณาตัวเอง ออกจากตำแหน่ง นอกจากนั้น สถาบันผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อพิจารณาในข้อกฎหมายว่า จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับคณะที่ปรึกษาฯ ได้หรือไม่

ขณะเดียวกัน นายประหยัด ศ. นาคะนาท ก็ได้รีบชี้แจงออกมาว่า ตนเองทำงานตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และถือหลักเสริมสร้างความสามัคคี ให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่ายในชาติ และสำหรับเรื่องนี้ ก็ให้ฟังและเชื่อตามพลเอกประลองให้สัมภาษณ์ ในครั้งหลังสุด มากกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น

“อย่างนี้ก็แย่สิ” พลเอกยศ เทพหัสดินฯ กล่าวอย่างงง ๆ เมื่อทราบถึงการแก้ข่าว ที่เจ้าพนักงานการพิมพ์เรียกไปให้แก้ข่าว

“เรื่องแบบนี้ อย่าไปถือสาเลย ผมมีความเห็นเหมือนคุณประลอง ที่เคยให้สัมภาษณ์แล้ว ผมได้สอบถามดู ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่รู้เรื่อง ไมได้ให้ใครไปแก้ข่าว ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมหนังสือพิมพ์ ไปลงแก้ข่าวอย่างนั้น”

“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
ตรวจสอบได้นะข่าวนี้

ด่าเค้าหัวหงอก ยังมีหน้าไปเสนอหน้าในสยามรัฐของท่านผู้เฒ่าอีกเหรอ

หรือว่าหน้าไม่มียางแล้ว จืดเอย…

อย่างนี้เขาเรียกว่า “พอถ่านจะเป็นขี้เถ้าก็ไปเป่าให้มันคุ” กรณีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่นัดรวมพลคนเสื้อเหลืองไปฟังรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ที่สวนลุมพินีอีกครั้งในวันที่ 9 ธันวาคม ก็ทอดระยะเวลาจากครั้งที่แล้วนานพอสมควร นานพอจะทำให้แฟนๆ ได้คิดอะไรกันบ้าง แต่แล้วก็จนได้..!

ครับ..พอไฟอารมณ์ร่วมจะมอด ท่านว่าที่ผู้สมัคร ส.ว.ครั้งหน้า “นายสมัคร สุนทรเวช” ก็ออกมากระชุ่นอารมณ์ให้คุกันต่อ

อันที่จริงผมไม่รู้หรอก เพราะนายสมัครท่านทำหน้าที่ “โฆษกนอกทำเนียบ” ผ่านรายการโทรทัศน์ ช่อง 5 เมื่อเช้าวันอังคารที่ 29 พ.ย. ในขณะที่นายสมัครกำลังเอนจอยปาก ผมก็กำลังเอนจอยนอน

แต่มาเปิดเจอข่าวในเว็บไซต์ผู้จัดการเขาน่ะครับ เขาพาดหัวกลางจอไว้ว่า

“สมัคร” ฉุน! โต้แฟนเมืองไทยฯ สวนลุมแค่ 5 พัน-วอน 9 ธค.อย่าออกจากบ้าน

ผมจะไม่เล่ารายละเอียดทั้งหมดหรอก แต่จะยกคำพูดนายสมัครซักประโยคตามที่เว็บไซต์ผู้จัดการเขาถ่ายทอดมาเสนอเป็นข่าวไว้

“ผมก็เป็นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง ใครจะมาทำให้บ้านเมืองเสียหาย ผมต้องโผล่หน้าออกมา ใครจะเคียดแค้นชิงชังก็ช่าง ผมจะทำหน้าที่นี้ ขอวิงวอน วันที่ 9 ธันวาฯ ใครไม่เห็นด้วยไม่ต้องออกมา

แต่ใครเห็นด้วย อยากจะออกไปก็ไปเลย ไม่ได้ห้าม แต่ถ้าใครไม่เห็นด้วยขอให้อยู่แต่ในบ้าน อย่าไปเป็นเครื่องมือ อย่าไปดูเขา บ้านเมืองอยู่ดีๆ ก็มามีคนปลุกระดม แล้วสื่อทั้งหลายก็แส่เข้าไปด้วย รวมทั้งพวกที่เกลียดนายกฯ ทั้งหลาย มันไม่มีเหตุผล เขาเข้ามาตามตรอกออกตามประตู

ผมขอเตือนไว้นะไอ้พวกนี้ แล้วก็พวกที่เกลียดปลาไหลแต่รอกินน้ำแกง ได้พวกหน้าจำบ่ม รอชิงสุกก่อนห่ามทั้งนั้น ระวังไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

นี่แหละครับ ถ้าผมเป็นนายกฯ อ่านแล้วก็คงต้องบอกนายสมัครว่า “นี่..ทั่นช่วยรักผมน้อยๆ และถอยไปห่างๆ หน่อยได้มั้ย?”

แต่นายกฯ ท่านไม่ได้พูดอย่างนั้นหรอกครับ เพียงแต่วานนี้ท่านให้สัมภาษณ์ในบรรยากาศรวมๆ ไว้ในประโยคหนึ่งว่า

“ในช่วงนี้อาจมีหลายคนที่กำลังเตรียมลงสมัคร ส.ว.ออกมาโหมกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงปฏิกิริยาการเมืองแปลกๆ เพื่อสร้างความยอมรับในสังคมด้วย ซึ่งไม่ควรไปให้ความสนใจอะไรมาก”

ความจริง ที่คุณสนธิย้ายเวที “เมืองไทยรายสัปดาห์” ไปเข้าวัดหลวงตาพระมหาบัว และยิงภาพผ่านดาวเทียมมายังแฟนๆ ที่เนืองแน่นอยู่ในสวนลุมพินี เมื่อศุกร์ที่ 25 พ.ย.นั้น

การที่คุณสนธิประกาศงดรายการศุกร์ที่ 2 ธันวา. และนัดเปิดวิกอีกทีในวันศุกร์ที่ 9 ธันวา. ปรากฏว่าในช่วงห่างของระยะเวลาเหล่านี้ มีผู้ใหญ่หลายท่านออกมาให้แง่คิดเป็นการ “เตือนสติ” ไว้อย่างหนึ่งคือ

ไม่ควรนำ “สถาบัน” มาเล่นกัน!

เท่าที่ผมสดับตรับฟัง ผู้คนก็ตั้งสติ ใคร่ครวญทวนทบด้วยวิจารณญาณเพื่อบ้านเมืองดีอยู่ จนดูเหมือนว่าความร้อนรุ่มทางการเมืองลดอุณหภูมิลงสู่ระดับ “พลังอบอุ่น” แก่บ้านเมือง

ไม่ใช่ไฟที่เผาบ้าน-เผาเมือง!

ประชาชนทุกวันนี้แยกแยะเป็นแล้วครับ คือเขาสามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจนระหว่างคำว่า

เสถียรภาพบ้านเมือง กับคำว่า

เสถียรภาพรัฐบาลทักษิณ!

และถ้าสังเกตให้ดี คุณสนธิก็คงได้คิด-ได้ไตร่ตรองตามด้วย ดังจะเห็นจากคำเชื้อชวนเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งก่อนๆ จะมีการอ้างอิงถึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเงื่อนไขในการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์

แต่ขณะนี้-เวลานี้ ไปดูซีครับ นอกจากภาพคุณสนธิสวมเสื้อยืดเหลืองตัวเดิม มีคำว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ตรงหน้าอกแล้ว

จะไม่มีข้อความใด “อิงกำแพงวัง” หรือข้อความใดที่ชักชวนให้ผู้คนแห่แหนกันไปในลักษณะเพื่อ

ปลุกระดมโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ!

ผมอ่านดูก็มีเพียงว่า แล้วพบกัน สนธิ ลิ้มทองกุล-สโรชา พรอุดมศักดิ์ ในเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 11 ที่เก่า เวลาเดิม สี่โมงเย็น ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2548 ณ สวนลุมพินี

ยิ่งปิดกั้น

ยิ่งคุกคาม ยิ่งต้องกล้า

ครับ..ก็ไม่เห็นมีอะไรที่คุณสนธิ หรือใครจะทำอย่างนั้นไม่ได้นี่ครับ ตรงกันข้ามที่นายสมัครพูดผ่านจอโทรทัศน์อันเป็นของรัฐ โดยเฉพาะของกองทัพบกว่า

“…คือเขาจะเอาคน 5 แสนออกไปบนถนน เพราะเขาแน่ใจว่ามันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้”

อย่างนี้ตะหากที่เข้าลักษณะใส่ร้าย เอาสิ่งที่ฝันมาสรรค์แต่งเป็นตัว แล้วโพนทะนาว่ากล่าวคนอื่น โดยหาคิดไม่ว่า ใครก็ตามที่เอาจมูกบานไปรันขี้ ต่อให้ไปดมดอกไม้ มันก็จะตะโกนแต่ว่า

“เหม็นอัญไร” อยู่วันยังค่ำ!

ท่านนายกฯ เสียอีก ท่านยังพูดเองเมื่อวานนี้ถึงการให้ถ่ายภาพทางดาวเทียมที่สวนลุมฯ มาดูว่า

“..ก็เพื่อดูปฏิกิริยาของประชาชน หากไม่พอใจก็พร้อมรับฟังและนำมาปรับปรุงการทำงาน และพร้อมให้ประชาชนตัดสินในอีก 4 ปีข้างหน้าว่าจะเลือกกลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือไม่?”

ฉะนั้น ใครก็ตามที่ “เห่าแทนนาย” ในลักษณะนั้น ผมจะบอกว่า เท่ากับไปเร่ง “อัตราเพิ่ม” ของผู้คนให้ไปสวนลุมฯ ในวันที่ 9 ธันวา.หนักขึ้น

ไม่เพียงนายกฯ เท่านั้นที่บอกว่า “ผมไม่ชอบการท้าทาย”

คนไทยก็ไม่ชอบครับ!

ผมย้ำแล้ว-ย้ำอีกว่า “พอเหอะ คุณสนธิ” ชูธงแห่งชัยเมื่อวันที่ 25 พ.ย. แล้วก็คืนสู่ที่ตั้งท่าพระอาทิตย์ แจกแจงความผิด-ถูกของรัฐบาลผ่านงานสื่อตามปกติ

แต่คุณสนธิเขาหยุด ณ จุดหนึ่งบนจิตใคร่ครวญของเขาเองแล้ว แต่อีกฝ่าย “ไม่หยุด” นี่ครับ แถมใช้ความได้เปรียบทางอำนาจ-ทางสื่อรัฐ ไล่บี้-ไล่อัด สารพัดรูปแบบ

ในขณะที่ฝ่ายรัฐกลัวกันขี้ขึ้นหัวขมอง พยายามจะทำให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ในวันที่ 9 ธันวา.ล้มไปให้ได้ หรือก็ให้คนหมดความเชื่อถือ-สนใจจะไปร่วมฟัง

แต่ฝ่ายรัฐบาล กลับตั้งเวทีในจอโทรทัศน์ ยึด UBC ช่อง 9 เอาเทปแก้ต่างของนายวิษณุ กับนายธงทอง เรื่องจัดงานทำบุญประเทศในวัดพระแก้วมาออกอากาศชนิดว่า

วันละ 3 เวลา วันหยุดราชการเพิ่มรอบเช้า แถมรอบดึก ปานนั้นเชียว!

ผมเห็นติดต่อมาเป็นสัปดาห์น่าจะได้ เที่ยงเปิดก็เห็น บ่ายเปิดก็เห็น ตอนดึก ตี 2 ตี 3 กลับไป อะไรวะ..มันยังมาตะแคงข้างๆ คูๆ เป็นไอ้พวกตุ๊กแก “กินปูนร้อนท้อง” อยู่อีก

จากที่พอกล้อมแกล้มยกประโยชน์ให้จำเลย แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนเลยบอกว่า “เอ๊ะ..มันลุกลี้-ลุกลน วกๆ วนๆ ส่อเจตนา?”

ความจริง บ้านเมืองในภาวะ “ข้าคนเดียว-คือทักษิณ” การที่คุณสนธิทำหน้าที่ “เอากระพรวนไปผูกคอแมว” ผมก็ว่ามันเป็นคุณูปการด้านข้อมูลข่าวสารที่คุณสนธิทำให้ชาวบ้านหูตาสว่างขึ้น

เหตุที่เกิดจะไปโทษคุณสนธิโดยตรงไม่ได้!

ต้องโทษรัฐบาลทักษิณ และไอ้พวกขี้ข้าที่ทำหน้าที่บริหารสื่อรัฐ!

ก็คุณสนธิเป็น “หมามีปลอกคอ” จ้ออยู่ในจอโทรทัศน์ช่อง 9 ดีๆ อยู่แล้ว พอเห็นหมาเปลี่ยนจากเลียมือมางับมือ ก็ดันไล่เอาออกไปซะนี่

เขาก็ต้องดิ้นรน ไปเปิดเวที เพราะไปตีให้เขา “เอาหลังพิงฝา” สู้เอง

แล้วมันต่างกันแค่ จากจอทีวี มาเป็นสวนลุมพินี แค่เนี้ย..ทำจมูกพะเยิบพะยาบสามหาวว่ามาปลุกระดมคน 5 แสนไปโค่นล้มรัฐบาล!?

ก็บอกกันให้ตรงๆ ซะเลยก็หมดเรื่องว่า “จอทีวี” คือสถานีองครักษ์-พิทักษ์รัฐบาล อย่างรายการนายสมัครที่ช่อง 5 ช่อง 9 เป็นต้น

“สนามหลวง-ราชดำเนิน-สวนลุมพินี” คือสถานีอัลญะซีเราะห์เมืองไทย! ฉะนั้น เมื่อคุณสนธิไม่ยอมเลีย แล้วออกไปตั้งเวทีพูดจาให้ประชาชนฟังด้วยเรื่องที่ “ศาลท่านอนุญาต” ให้พูดได้เป็นการติชมรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะ ซ้ำเจ้าตัว คือนายกฯ ก็ใจกว้างรับได้

แล้ว “ชายชรา” ไร้อันดับ มาทำจมูกพะเยิบพะยาบอยู่ทำไม?

ถ้าคุณสนธิเอาสถาบันมาเล่นเกินเลย ถ้าคุณสนธิพูดปลุกระดมให้ฝูงชนไปโค่นล้มรัฐบาล เหมือนอย่างตอนพฤษภาทมิฬ

เออ..ถ้าอย่างนั้น กฎหมายก็ต้องไม่ละเลยกับคุณสนธิ!

แต่..วันนี้ ถ้าคุณสนธิไม่ออกมาบอก ใครล่ะจะออกมาบอกประชาชนให้รู้ว่า

“มีการใช้ C-130 อันเป็นยุทโธปกรณ์ในกองทัพ เป็นพาหนะขนคนไปงานขึ้นบ้านใหม่ “น้องสาวนายกฯ” ที่เชียงใหม่”

ทางกองทัพเรอะ ทางรายการนายสมัครเรอะ ทางกรมประชาสัมพันธ์เรอะ ทางช่อง 3-5-7-9 และ ITV เรอะ?

“คุณสนธิ” มีสิทธิ์สมบูรณ์ที่จะจัดรายการ และพูดในสิ่งที่กฎหมายคุ้มครอง และคนจะ 5 แสน หรือ 5 ล้านไปฟังคุณสนธิพูด ก็เป็นสิทธิ์สมบูรณ์ตามระบอบประชาธิปไตย ส่วนอะไรอาจเกิดนั้น คุณสนธิคงไม่ต้องการทำหน้าที่ “พาคนไปตาย” เหตุร้ายถ้ามี ก็ระวัง “ช่างทาสีชรา” นี่แหละ..ตัวดีนัก.

เปลว สีเงิน

เมื่อ”สมัคร สุนทรเวช” ทำบาปซ้ำ ตำแหน่ง”ประธานวุฒิสภา”คงได้แค่ฝัน

โดย เซี่ยงเส้าหลง 1 ธันวาคม 2548 00:12 น.

•• ช่างบังเอิญเสียนี่กระไรถึงคำพูดของ คน 2 คน ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้า วันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 คนแรก สมัคร สุนทรเวช พูดในรายการ เช้าวันนี้ที่เมืองไทย ทาง ททบ. 5 คนต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดกับคณะรัฐมนตรีก่อนเริ่มประชุมประจำสัปดาห์ที่ ทำเนียบรัฐบาล ทั้งสองพูดว่า จำนวนคนที่เข้ามาชมรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรมีน้อยกว่าที่หนังสือพิมพ์ลง กล่าวคือ ไม่ถึงแสน, ไม่ถึงหมื่น คนแรกบอกว่าแค่ สี่ห้าพัน คนหลังบอกว่า เจ็ดพัน ตกอกตกใจอะไรกันนักหนาถึงมาจับประเด็นนี้ที่ใคร ๆ ที่พอมีสติปัญญาทางการเมืองอยู่บ้างก็รู้ได้ทันทีว่าคำพูดประเภทนี้แหละที่ เรียกคน, เพิ่มคน ใน อัตราเร่ง ตั้งสติกันเสียใหม่ปรับตัวปรับใจปรับขบวนกันให้ นิ่ง จะได้ คู่ควร กับการตั้งหลักรับมือกับ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 11 วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2548 ที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนพลออกมาสู่บริเวณ เวทีกลางแจ้ง ให้ นับจำนวนกันง่ายขึ้น กะอีแค่เรื่องแค่นี้ยังอุตส่าห์ โกหกพกลมกันอย่างหน้าด้าน ๆ นับประสาอะไรกับ เรื่องใหญ่กว่านี้ พูดก็พูดเถอะ สนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มต้นต่อสู้ตามวิถีทางมาอย่างชนิด “…ข้ามาคนเดียว.” จัดรายการอยู่ 7 ครั้ง จำได้ไหม แทบไม่เป็นข่าวในหน้าหนังสือฉบับอื่น (ยกเว้นแต่ ผู้จัดการรายวัน) มาเริ่มยกระดับเป็น ข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ก็เมื่อ ครั้งที่ 8 ตรงกับ วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2548 และยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ชนิด เป็นข่าวไม่เว้นวัน ในช่วง ครั้งที่ 9 – 10 วันศุกร์ที่ 18, 25 พฤศจิกายน 2548 รู้ไหมว่าเพราะอะไร “เซี่ยงเส้าหลง” ตอบให้ก็ได้ว่าเพราะ จำนวนคนเข้าชมรายการที่เพิ่มมากขึ้น ในระดับที่เรียกว่า แตะหลักหมื่นในครั้งที่ 8 และเพิ่มในอัตราเร่งระดับ แตะหลักห้าหมื่นในครั้งที่ 9 ทั้ง ๆ ที่ฝนตกหนัก มิพักต้องพูดถึง ผลสะเทือนในวงกว้างทั่วประเทศ ที่ก่อตัวเป็น กระแส จนหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับทั้งที่ชอบและไม่ชอบเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะยกระดับเป็น ข่าวหน้า 1, ข่าวพาดหัวใหญ่ รวมทั้ง บทวิเคราะห์ทุกแง่มุม โดยมีผู้บัญญัติศัพท์ที่เริ่มใช้กันแพร่หลายว่านี่คือ ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล อันหมายถึงว่านี่คือ ปรากฏการณ์ใหม่ทางสังคมที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ควรค่าแก่ การศึกษา, การทำความเข้าใจ ควรรู้ว่าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับที่เขาเขียนถึงวิเคราะห์ถึงไม่ใช่เพราะ เห็นด้วย, ร่วมขบวน หากแต่เพราะนี่คือ ข่าวที่คนสนใจ, ข่าวที่คนอยากรู้ และพูดก็พูดเถอะนี่คือ ข่าวที่ขายได้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ สื่อภายในประเทศ แม้แต่ สื่อต่างประเทศชั้นนำ ก็ยังให้ความสำคัญแก่สิ่งที่เรียกว่า ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล ปรากฏการณ์นี้กำลังก่อให้เกิดผลสะเทือนทางสังคมและทางการเมืองอย่างใหญ่หลวงชนิดที่แม้ในอนาคตจะ ไม่มีเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร กระทั่งต่อให้ ไม่มีสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะสามารถ หยุดกระแสวิกฤตศรัทธา ลงได้ง่าย ๆ ก็อย่างที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยกล่าวไว้ตั้งแต่งานเขียนชุด จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร – ตอนที่ 1 ลงตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 29 พฤษภาคม 2548 นั่นแหละว่า “…เครื่องติดแล้ว (ใครก็หยุดยาก).” วันนี้เวลาผ่านมา 6 เดือนเต็มสถานการณ์ไม่ใช่แค่ เครื่องติดแล้ว หากแต่เดินมาถึงขั้น ล้อหมุนแล้ว, ขบวนขับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว ยังจะมามัวแก้เกมด้วยวิธีการเก่า ๆ ของทรราชหลายรุ่นในอดีต โกหกพกลมกันอย่างหน้าด้าน ๆ อีก

•• แค่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีคนอย่าง สมัคร สุนทรเวช มาเป็น กัลยาณมิตรที่เอาการเอางาน คอยพูดจาในลักษณะตั้งแต่ ดูถูกประชาชน ไปจนถึง ข่มขู่ประชาชน ทุกวัน ๆ ละ 3 เวลาทางช่อง 5 ช่อง 9 และ วิทยุ FM 94 Megahertz มันก็เท่ากับ เพิ่มอัตราเร่ง ให้กับ ขบวนที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว โดยที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไรในระหว่างนี้เลย

•• ไม่รู้ว่าระหว่างกัลยาณมิตรคู่นี้ใครคิดก่อนใครในเรื่อง จำนวนคนที่สวนลุมพินี แต่ก็อยากจะเตือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สักนิดว่าระวังจะติดโรค สมองด้านการนับเลขเสื่อมอย่างรุนแรง มาจาก สมัคร สุนทรเวช เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ อาการของโรคแสดงออก ก่อนหน้านี้เมื่อพูดถึง เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็ไม่ใช่นายหมอดีคนนี้หรอกหรือที่บอก จำนวนคนตาย ว่า มีน้อย ต่างจาก ความจริงที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คงจะจำกันได้นะ

•• พูดก็พูดเถอะ สมัคร สุนทรเวช วันนี้ก็ อายุเกิน 70 พูดภาษาชาวบ้านก็ ไม้ใกล้ฝั่ง บาปเพราะปากที่ทำไว้ช่วง วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ยังไม่ทันได้ สารภาพ ก็กำลังมา ทำซ้ำ ในวันนี้อีกกับกรณี ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล และกรณี วิกฤต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในสมองคิดอยู่แต่เรื่องล้างผลาญทำลายชีวิตผู้คนด้วยอำนาจนิยมเท่านั้นหรือถึงได้พูดออกมาว่า “…ผมอยากให้ท่านอยู่กับบ้าน คอยฟังข่าว คอยดูรูปถ่าย เขาถ่ายมาให้ดูว่าหน้าตาเป็นยังไงมั่ง เขาจะทำอะไรให้สุดฤทธิ์สุดเดช ก็ปล่อยเขาไป — เรื่องพรรค์นี้บ้านเมืองจะเป็นคนจัดการเขาเอง ท่านรอให้หมดเรื่องปลุกระดมก่อน แล้วบ้านเมืองก็กลับเข้าสู่ปกติเอง.” ท่านเป็นมนุษย์ประเภทไหนกันแน่ระหว่าง มนุสเนริยโก, มนุสเปโต, มนุสเดรัสฉาโน, มนุสมนุสโส, มนุสเทโว หรือ มนุสอริโย ถึงได้ชอบเอ่ยวาจาในเชิงที่ตีความได้ว่า อำนาจนิยม, กระหายเลือด ทำนอง “…บ้านเมืองจะเป็นคนจัดการเขาเอง.” กับกิจกรรมทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญที่ สงบ, สันติ และ อหิงสา ก่อนตายจากโลกนี้ไป ตำแหน่งประธานวุฒิสภาคนใหม่ มันสำคัญล้ำหน้า ธรรม นักหรือ “เซี่ยงเส้าหลง” อยากจะเตือนความจำว่านักการเมืองที่เคยมีอนาคตดีอย่างท่านแต่ คิดสั้น ไป รับใช้อำนาจนิยม แล้ว รับตำแหน่ง มท. 1 ในรัฐบาลที่มาจาก เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 นั้นมันส่งผล บั่นทอนอนาคต, ประทับตราบาป ไปแล้วเท่าไรระวังไว้แม้แต่ตำแหน่งสุดท้ายที่อยากได้ในชีวิตก่อนตาย ประธานวุฒิสภา ก็จะ อด ไม่เชื่อคอยดู

•• ข้อถกเถียงเรื่อง จำนวนคนที่สวนลุมพินี นั้น “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่ประสงค์จะ ถกเถียง ใครสนใจก็ลองเปิดอ่าน http://www.pantip.com กระทู้ที่P 3917072 แต่อยากจะแนะ วิธีการนับ ตามแบบฉบับเจ้าของนามปากกา หนุ่มเมืองจันทน์ ที่เสนอไว้ใน มติชนสุดสัปดาห์ – ฉบับล่าสุดดูเผื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร – สมัคร สุนทรเวช จะนำไปประยุกต์ใช้ “…ช่วงสถานการณ์แบบนี้ผมชอบคลิกเข้าไปดูในเว็บไซต์ที่มีการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แม้รู้ว่าจะมีพวกจัดตั้งเข้ามาโพสต์โต้ตอบกัน แต่พอได้รับรู้ความรู้สึกของกลุ่มอื่นบ้าง วันที่เข้าไปดู ผมชอบความเห็นของคนหนึ่งที่คงรำคาญพวกไทยรักไทยที่พยายามบอกว่าคนไปสวนลุมฯมีน้อยแค่หลักพัน ไม่ใช่หลักแสน และส่วนใหญ่ไปดูคอนเสิร์ตหรือออกกำลังกาย รู้ไหมครับว่าเขาว่าอย่างไร — เขาบอกว่าถ้าอยากรู้ว่าพวกของจริงมีจำนวนอยู่เท่าไร ให้คนสงสัยเอาถุงใส่ขี้โคลนไปปาใส่สนธิฯบนเวที จากนั้นก็เตรียมนับเลขให้ดี เขาเสนอทฤษฎีการคำนวณแปลกดีครับ – โดนกระทืบกี่เท้าให้นับไว้…แล้วเอา 2 หาร…นั่นแหละของจริง.” หากรับความคิดนี้แล้วหาผู้กล้าอาสาไม่ได้ละก็ขอแนะนำให้ สั่งการ ให้ผู้ภักดีอย่าง น.ต.ศิธา ทิวารี เจ้าของวาจา “…คนมาร่วมได้รับเงินหัวละ 300 บาท.” เป็นผู้เข้าไปหาความจริง

•• อยากจะแนะให้นักสื่อสารมวลชนและนักศึกษาวิชาสื่อสารมวลชนทั้งหลายอ่านงานของ บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา เรื่อง ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล – ในฐานะที่เป็นข่าว ตีพิมพ์ใน ผู้จัดการรายวัน – วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2548 อดีตคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนนี้มองว่าไม่ว่าจะวัดจากมาตรวัดใดที่ใช้ตัดสิน คุณค่าด้านข่าว แล้วก็ล้วนจะพบว่า ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล คือ ข่าวใหญ่ เพราะมีครบถ้วนทั้ง แรงกระทบ (impact), น้ำหนัก (weight), ความขัดแย้ง (controversy),อารมณ์ (emotion), ความไม่ปกติ (unusualness), ความเด่น (prominence), ความใกล้ตัว (proximity), ความทันต่อเวลา (timeliness), ความตรงใจ (currency), ประโยชน์ (usefulness) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณค่าทางการศึกษา (educational value) ท่านสรุปไว้ตอนท้ายบทความว่า “…ไม่ว่าสิ่งที่สนธิ ลิ้มทองกุลนำเสนอจะผิดถูกอย่างไรก็ตาม เรื่องราวของเขาก็คือข่าวใหญ่อย่างแน่นอน สื่อต่างๆ มีภารกิจที่จะต้องนำเสนอตามข้อเท็จจริงด้วยความซื่อสัตย์ ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยกับเนื้อหาที่เขานำเสนอก็ได้ อย่างน้อย ๆ การกระทำดังกล่าวก็คือการแสดงความเคารพต่อมาตรฐานขั้นต่ำของวิชาชีพของสื่อที่ต้องรายงานความเป็นจริงที่สำคัญ ๆ ให้ผู้บริโภคได้รับทราบอย่างครบถ้วน — ทั้งนี้ โดยไม่ต้องพูดถึงความจริงง่ายๆ ที่ว่าการกระทำหน้าที่ตามมาตรฐานขั้นต่ำทางวิชาชีพนี้มีค่าเท่ากับการปกป้องรักษาสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน และสังคมทั้งระบบ ตามนัยของปรัชญาว่าด้วยเสรีภาพในการพูดของโวลแตร์ที่ว่า… (แม้น)ข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด แต่(ข้าพเจ้า)ก็จะปกป้องสิทธิของคุณในการพูดนั้นๆ ด้วยชีวิต.” ใครยังไม่ได้อ่านก็โปรดลองอ่านดู

•• ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2548 เป็นต้นไป “เซี่ยงเส้าหลง” ขอ ลางานชั่วคราว จะกลับมาพบผู้อ่านอีกครั้งใน วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2548 ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแด่ทุกท่าน

เซี่ยงเส้าหลง

ขอเรียนถามลุงแคน หรือท่านผู้รู้อื่นๆ

หนูเคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัย 6 หรือ 19 ตุลา นี่หละคะ คุณสมัครได้บอกว่า ที่ธรรมศาสาตร์มีการขุดอุโมงค์ไปแม่น้ำ … อะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่า เจ้าพระยา หรือเปล่า

พอดีว่าได้ยินมานานแล้ว แต่ช่วงนั้นก็ยังเด็ก ไม่สนใจเรื่องการเมือง >< รบกวนช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยนะคะ

แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 48 19:21:03

เข้าใจว่า นายอุทิศ นาคสวัสดิ์ครับ เป็นผู้กล่าวหาว่าธรรมศาสตร์มีอุโมงค์ลงไปออกแม่น้ำเจ้าพระยา

มีห้องดาดฟ้าบนตึกโดมส้องสุมอาวุธ ดูเอาเถอะ ดร.อุทิศ…ศิษย์เก่า มธ….
( เดี๋ยวขอค้นนิดนะครับ รู้สึกมีนายตำรวจใหญ่ให้สัมภาษณ์ด้วย …ขอเวลา…3 นาที บอกกับพี่ตรงไปตรงมา…….)

ตอนนี้ไปดีแล้ว…..ไปแล้วครับ

ช่วงขวาพิฆาตซ้าย มีการตั้งแก๊งส์ ขึ้นแก๊งส์หนึ่ง

ที่เมื่องจีนมีแก๊งส์ ออฟ โฟร์

เมืองไทยมีแก๊งส์ ออฟ ไฟว์ ( 5 เหลาเห่าไม่เลิก )

คือ กิตติศักดิ์ สมัคร ดุสิต อุทิศ อุทาร

ตอนนี้ไปหายมบาลแล้ว 3 หน่อ

กิตติศักดิ์ ชื่อเดิม กิตติวุฒโธ….เจ้าของวลีธรรมะอันลือลั่นยุคหลังกึ่งพุทธการ…..”ฆ่าคอมมูนิสต์ไม่บาป”….
นี่แหละศิษย์ตถาคต…และวลี …พระทุศีล ดีกว่าคนถือศีล…

ปัจจุบันเหลือ 2 หน่อ กำลังจีบปากจีบคอในโทรทัศน์…สบัดปลายปากกาในหนังสือชั้นดีในอดีต….กรีดฝ่ายค้าน
-คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล นักวิชาการ เอ็นจีโอ….

โอ้..ละ..หนอ…หรือมารจะเกิดก่อขึ้นในใจ

อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม

เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ

ชนเหล่าใด เข้าไปผูกเวรว่า “คนนี้ได้ด่าเรา ได้ฆ่าเรา ได้ชนะเรา และได้ลักสิ่งของของเราไป” เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่สงบระงับ

ผมรู้สึกไม่สงบระงับจริง ๆ สึนามิเกิดจากการแยกของแผ่นดิน เป็นความจริงแท้แค่ใหน

เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ก็เปรียบได้เช่นกัน รอยแยกนั้นหากเลื่อนไปทางขนาน ย่อมไม่ส่งผลสะเทือน

เสมือนเราไม่พูดถึงประวัติศาสตร์ช่วงอาดูร

แต่ 2 หน่อ ป.ม. มาทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหว…ผมกลัว…สึนามิ…จะเกิดตามมาครับ

จากคุณ : Can – [ 10 เม.ย. 48

**********************
  
พวกเราเชื่อเรื่องกรรมมั๊ยครับ
…………………………………
1. พระเทพกิตติปัญญาคุณ (กิตติวุฒโฑ) หรือนายกิตติศักดิ์ เจริญสถาพร (ชื่อจริงก่อนบวช) มีเรื่องอื้อฉาวมากมาย แต่ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างน้ำขุ่นๆ ท่านเป็นเจ้าของวลีโด่งดัง ที่ว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”

หลังจากมรณภาพเมื่อ 21 ม.ค. 2548 ที่ผ่านมา คอลัมน์”เหนือฟ้า ใต้บาดาล” โดยก้อง กังฟู ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 2548 ได้ลงประวัติพระกิตติฯ ให้ญาติโยมได้อ่านกันทั้งประเทศในหัวข้อเรื่อง

*อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ศาสนกิจฉากสุดท้าย สงฆ์ผู้ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป

…..ในอดีต เป็นพระที่น่าเลื่อมใสศรัทธาก็จริงอยู่ แต่ความเลื่อมใสศรัทธาเริ่มลดท่าล่าถอย เสื่อมลง ลงจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อันเป็นช่วงสังคมการเมืองเข้าสู่ยุค “ขวาพิฆาตซ้าย” ซึ่งพระกิตติวุฒโฑ ก็ได้เทศนาในวลีดังที่ว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ (ซึ่งเป็นมนุษย์) ไม่บาป” แม้สงครามเย็นจะผ่านไปแล้วถึง 30 ปี ถ้อยคำนี้ก็ยังติดหูผู้คนอยู่จนทุกวันนี้

หลังจากคำวลีอันเป็นประวัติศาสตร์ผ่านไป กิจการต่าง ๆ (ทั้งที่เป็นกิจของสงฆ์ และไม่ใช่กิจของสงฆ์) ของพระกิตติฯ ทั้งศาสนกิจ และธุรกิจ ก็มีอันติด ๆ ขัด ๆ และล้มเหลว เช่น โครงการโรงสีข้าว 2,000 โรงเพื่อช่วยชาวนา สร้างพระอุโบสถกลางน้ำ เรือโพธิญาณ คอนโดมิเนียมคนชรา ซึ่งมีแต่เสาโด่เด่ ฯลฯ บางอย่างก็ผิดกฎหมาย แต่ทั้งหมดไปไม่รอด รวมถึงบางโครงการ ก็ถูกฟ้องร้องยังโรงศาล เพราะจ่ายเช็คสปริง (เช็คเด้ง – เช็คไม่มีเงิน) ให้กับนางนิ่มนวล และ น.ท.สุรพงษ์ ดุลยไพบูลย์ เป็นค่าซื้อหินอ่อนจากแหล่งสัมปทานใน จ.สระบุรี กรณีหลอกขายที่ดินป่าสงวน 2500 ไร่ ในราคา 7 ล้านบาท ที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กรณีรถวอลโว่เถื่อน (หนีภาษี) ฯลฯ

ก่อนหน้านี้ เมื่อ 15 พ.ค. 2542 นสพ.มติชนรายวัน ก็ลงเรื่องราวของพระกิตติฯ ในคอลัมน์ “เดินหน้าชน” โดยประสงค์ วิสุทธิ์ ตีแผ่เบื้องหลังพฤติกรรมทุศีลของพระกิตติฯ อย่างโจ๋งครึ่ม แต่ก็ไม่มีเสียงชี้แจงแถลงไขโต้ตอบจากพระกิตติฯ แต่ประการใด

ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาเรื่อง “กฎแห่งกรรม” สืบเนื่องมาจากการที่พนักงานการไฟฟ้า จ.นครปฐม ถูกคนร้ายฆาตกรรมแล้วจับแขวนคอที่รั้วหน้าอู่ซ่อมรถ ต.พระประโทน จ.นครปฐม และนักศึกษาสังกัดชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้นำมาแสดงเป็นละครล้อเลียนที่บริเวณลานโพธิ์ เมื่อเที่ยงวันที่ 4 ต.ค. 2519 และมีผู้ถ่ายรูปและนำไปกล่าวหาปรักปรำนักศึกษาจนเกิดการเข้าใจผิด และโจมตีใส่ร้ายอาจารย์ป๋วยว่าอยู่เบื้องหลังนักศึกษา จนบานปลายนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519

ละครล้อเลียนช่างไฟฟ้าดังกล่าว ผมยืนดูการแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ ท่ามกลางสายตาผู้คนกว่าร้อยคน ไม่มีใครทักท้วงแต่ประการใด จึงขอยืนยันว่าการแสดงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาแม้แต่น้อย แต่เป็นการฉกฉวยโอกาสใส่ร้ายนักศึกษาอย่างไม่กลัวบาปกรรม เพื่ออ้างเป็นสาเหตุในการใช้กำลังปราบปรามนักศึกษาในขณะนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายทิศทางและมิติ ผู้มีส่วนก่อกรรมทำเข็ญ และล้างผลาญสังหารผู้คนบริสุทธิ์อย่างอำมหิตป่าเถื่อน โดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมและกฎหมายบ้านเมืองในครั้งนั้น ต่างก็ได้รับผลแห่งกรรมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น

ก. พล.ต.ท. ชุมพล รองอธิบดีกรมตำรวจในยุคปี 2519 ซึ่งนำกำลังตำรวจเข้าล้อมยิงธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ต.ค. 2519 ต่อมาต้องสูญเสียบุตรชายคนที่ 2 คือ พ.ต.ต. สุรศักดิ์ (น้องชาย ร.ต.เกรียงศักดิ์ อดีตปลัด กทม.) ขณะที่อยู่ในสนามมวยราชดำเนิน เพราะมีผู้ขว้างระเบิดสังหารเข้าไปในสนามมวย เมื่อ พ.ศ. 2525 ขณะมีอายุได้ประมาณ 31 ปี (เกิด 2 มี.ค.2488)

พล.ต.อ.ชุมพล ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยถึง 3 ครั้ง คือในรัฐบาลที่มีอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง (16 ต.ค. 2516 – 22 พ.ค. 2517 และ 30 พ.ค. 2517 – 14 ก.พ. 2518) และอีก 1 ครั้ง ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักด์ ชมะนันท์ (24 พ.ค.2522 -10 ก.พ.2523)

ข. พ.ต.ท. สล้าง รอง ผกก. ตำรวจกองปราบปราม สามยอด ซึ่งนำกำลังตำรวจเข้าปราบปรามนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ และตามไปเล่นงานอาจารย์ป๋วยที่สนามบินดอนเมือง โดยตบโทรศัพท์ที่อาจารย์ป๋วยกำลังพูดอยู่ จนโทรศัพท์ร่วงจากมือ ในวันที่ 6 ต.ค.2519 ต่อมา ขณะมียศเป็น พล.ต.ต. ได้สูญเสียภรรยา เพราะอุบัติเหตุรถยนต์ชนกับรถ 10 ล้อ บนถนนสายอ่างทอง – นครสวรรค์ เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 17 ก.ค. 2531 ระหว่างเดินทางกลับจากการท่องเที่ยวภาคเหนือ ขณะอายุได้ประมาณ 37 ปี (เกิดเมื่อ 13 เม.ย. 2494)

บุตรชายคนแรก ได้เขียนเล่าเหตุการณ์ตอนถูกรถยนต์ชนว่า

“….ตอนนั้นฝนตกหน่อย ๆ คุณพ่อเป็นคนขับ แล้วมาเปลี่ยนให้พี่กมลขับที่อำเภอพยุหคีรี (จ.นครสวรรค์) ตอนนั้นเป้งกับคุณแม่ตื่นอยู่ พี่กมลขับได้ไม่ถึงชั่วโมง รู้สึกว่าพี่กมลหลับใน แล้วรถวิ่งเข้าไปขนรถสิบล้อ วิ่งเข้าไปกินเลนเขา คุณแม้ร้องว้าย ดังมาก ๆ เป้งรู้สึกสงสารและคิดถึงคุณแม่อีกด้วย และตัวเป้งก็สลบไป คุณพ่อตื่นขึ้นมาบอกว่า ผมสล้าง บุนนาค แล้วคุณพ่อก็สลบไปอีก ตืนอีกที่โรงพยาบาลอ่างทอง แลถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ คุณพ่อได้เข้าห้อง I.C.U. ส่วนตัวเป้งเองไม่เป็นอะไรมาก แต่คิดถึงและสงสารคุณแม่ ๆ ๆ ๆ อยู่คนเดียวคิดถึงคุณแม่ ต้องร้องไห้ทุกที”

เด็กชายพลจักร (โป้ง) บุตรชายคนรอง ได้เขียนว่า

“……ตอนเกิดอุบัติเหตุ รถยนต์ชนกัน ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ และไม่คาดคิดมาก่อน…..”

ส่วนเด็กชายเหมจักร (ปั้ง) บุตรชายคนสุดท้อง เขียนว่า

“ดวงใจที่หนึ่งของปั้ง เมื่อก่อนเราห้าคนก็อยู่สุขสบายดี ตอนนี้คุณแม่ได้รับอุบัติเหตุจากรถชน คุณแม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้

ค. พ.อ.สุตสาย นายทหาร กอ.รมน. ผู้ก่อตั้งและควบคุมดูแลกลุ่มกระทิงแดง กองกำลังนอกกฎหมายในยุคปี 2517 และอีกหลายปีต่อมา จนกลุ่มกระทิงแดงเรียกว่าพ่อ เมื่อปี 2518 กลุ่มกระทิงแดงได้บุกเข้าทำลายธรรมศาสตร์ และในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 กลุ่มกระทิงแดงก็ได้บุกไปทำร้ายนักศึกษาที่อยู่ภายในธรรมศาสตร์ จนบาดเจ็บล้มตาย ซึ่ง พ.อ.สุตสาย ก็ได้ไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย ( รออ่านบันทึกเจ้าพ่อกระทิงแดงของ คนนี้อีก 18 ปีข้างหน้า จุฬาฯจะเปิดเผยตามพินัยกรรม )

หลังจากนั้น กลุ่มกระทิงแดงได้รับบรรจุให้เป็นทหารหลายคน มีเสียงร่ำลือว่าบางคนกลายเป็นทหารมาเฟีย เช่น พ.ต. เฉลิมชัย (ตึ๋ง) มัจฉากล่ำ หนึ่งในผู้นำกลุ่มกระทิงแดง ถูกกล่าวหาว่ากระทำตนเป็นผู้กว้างขวางแถวภาคเหนือ ต่อมาได้ถูกจับกุมและถูกฟ้องต่อศาล ฐานเป็นตัวการสมคบกันฆาตกรรมผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร จนถึงแก่กรรมในโรงแรงที่พัก ขณะเดินทางมาราชการ และถูกศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตประมาณปี พ.ศ.2545 ( วันตัดสิน…มีหนังสือพิมพ์ลงข่าว่า ตึ๋งขี้แตก )

ง. พ.ท.อุทาร หัวหน้าสถานีวิทยุยานเกราะในยุคนั้น ที่ปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังอาจารย์ป๋วย โดยกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ฯลฯ โดยใช้สถานีวิทยุยานเกราะเป็นแม่ข่ายของชมรมวิทยุเสรี เมื่อ 6 ต.ค.2519 ได้ปลุกระดมให้ผู้คนตามไปเล่นงานอาจารย์ป๋วย พ.ท.อุทาร เกษียณอายุในยศพลโท ปัจจุบัน ทราบมาว่า ตาบอดทั้ง 2 ข้าง ฯลฯ

จ. ศ.ดร.อุทิศ อาจารย์ ม.เกษตรศาสตร์ (เคยเป็นศิษย์เก่าและอาจารย์พิเศษคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธ.) ประธานชมรมวิทยุเสรี ที่ปลุกระดมให้ประชาชนเกลียดชังนักศึกษา และอาจารย์ป๋วย รวมทั้งออกอากาศโจมตีนักศึกษาและธรรมศาสตร์ทางโทรทัศน์ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 หลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 6 ปี ก็ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งที่ลำคอ

…กรรมเอ๋ยกรรม….

จากคุณ : Can – [ 10 เม.ย. 48
เพื่อให้ทันใจท่านผู้อ่านชมรมรักเมืองไทยหัวใจพอเพียง
ขอคัดลอกงานเขียนของ”ป๋าบุญเกิด” ซึ่งเขียนเมื่อวานนี้เองครับ
………………………………………………………………
* สำนึกของวิญญูชน หรือ ทรชน

ผมจะลองเปรียบเทียบจิตสำนึกของ กิตติวุฒโฑ ก่อน เหตุการณ์ และหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519

ก. 29 มิ.ย. 2519 กิตติวุฒโฑ ภิกขุ ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “จตุรัส” ว่า “……การฆ่าฅนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถือเป็นบุญกุศล เหมือนฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ (หรือฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป)

ข. กิตติวุฒโฑ ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รายปักษ์ “ธรรมรัฐ” ฉบับ 16-31พ.ค. 2521) ว่า “….การต่อต้านคอมมิวนิสต์นี่ ไม่ผิดวินัยสงฆ์ เพราะสงฆ์มีหน้าที่รักษาพระธรรมวินัย คอมมิวนิสต์คือ พวกมิจฉาทิฐิ เหมือนเดียรถีย์สมัยพุทธกาล ที่มุ่งทำลายบุคคลที่เขาประพฤติดี ประพฤติชอบ ที่เขาทำดี เขาอยู่อย่างเป็นสุข ก็ไปยุให้เขาวุ่นวาย….”

ค. นสพ.มติชนรายวัน ฉบับเสาร์ที่ 23 ต.ค. 2542 ลงบทความของนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก (อดีตนาคหลวง มหาบาเรียญ ปธ.9 และราชบัณฑิต) เรื่อง “พระทุศีล ดีกว่าคฤหัสถ์มีศีล ?”

โดยท่านได้เขียนขึ้นต้นบทความว่า

“ขอโทษ อย่าหาว่าร่ำไรไม่รู้จบเลย ขอพูดเรื่องนี้อีกที อนุสนธิ์จากพระคุณเจ้า กิตติวุฒโฑ เจ้ายุทธจักร Commercial Buddhism ที่ออกมาประกาศว่า “พระทุศีล ดีกว่าคฤหัสถ์มีศีล” ผ่านโทรทัศน์ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

พระคุณเจ้าประกาศอย่างนี้ตลอดเวลา ดูเหมือนจะเชื่อมั่นด้วยความสุขใจว่า ใครจะหาว่าอาตมาทุศีล ก็ไม่เป็นไร เพราะพระทุศีล ดีกว่าคฤหัสถ์มีศีล พระคุณเจ้าอ้างว่า มีพูดไว้ในมิลินทปัญหา พระนาคเสนตอบพระยามิลินท์ว่า พระทุศีล ดีกว่าคฤหัสถ์มีศีล

ครั้นผมทักว่า ไม่มีดอกครับ ข้อความที่ว่านั่น พระคุณเจ้าก็ตอบว่ามี อาจารย์ไปดูดี ๆ เถอะ กระผมดูดีแล้วครับ ใต้เท้า เลิกพูดอย่างนี้เสียทีเถอะ มิลินท์ปัญหา มิได้พูดอย่างที่พระคุณเจ้าอ้างดอกครับ พระคุณเจ้าอ้างเข้าข้างตัวมากกว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้มีพูดอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ……….

อันคนทุศีลนั้น ไม่ว่าพระ ไม่ว่าโยม มันก็คือทุศีลเหมือนกัน ไม่มีดอกครับที่ว่า พระทุศีลดีกว่าคฤหัสถ์มีศีล นอกจากพระทุศีลจะมาอ้างเพื่อหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง

เลิกเสียทีได้ไหม จะทุศีลก็ทุศีลไป ยอมรับว่า ไม่มีปัญญาจะรักษาศีลได้ บางที คนเขาอาจเห็นใจบ้าง ศีลที่พอแก้ไขได้ ก็แก้ไขตามหลักพระวินัยบัญญัติเสีย แต่ถ้าศีลประเภทแก้ไขไม่ได้ ถ้ารู้ตัวก็ออกมาเสีย อยู่ไปก็ทุเรศนัยน์ตาชาวบ้านเขาเปล่า ๆ”

ก่อนหน้าที่กิตติวุฑโฒจะกล่าวแก้ตัวอย่างนี้ ก็เพราะถูกชาวบ้านโจมตีว่า ท่านละเมิดพระธรรมวินัยตลอดมา แม้แต่พระพิมลธรรม (อาสภเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุฯ ก็ยังเคยกล่าวกับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ว่า ท่านไม่อยากยุ่งเกี่ยว ไม่อยากพูดถึงกิตติวุฑโฒ เพราะเขาใหญ่กว่าสมเด็จพระสังฆราชเสียแล้ว

นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 15 พ.ค. 2542 ในคอลัมน์ “เดินหน้าชน” ได้จั่วหัวข้อที่เขียนว่า “มหาจุฬาฯ กวาดบ้านตนเองก่อน” ขึ้นต้นบทความ ก็ได้นำเอาพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชเกี่ยวกับภิกษุต้องอาบัติปาราชิก เพราะโกงสมบัติผู้อื่น ตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป ถือเป็นพระปลอม แม้จะห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ก็ตาม เป็นลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชฉบับที่ 2 ที่ทรงบัญชาให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พ้นจากความเป็นพระ เพราะยักยอกฉ้อโกงทรัพย์สินวัดตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป

คอลัมน์ที่ผมพูดถึง ซี่ง “ประสงค์ วิสุทธิ์” เป็นผู้เขียน ก็ถือว่ากิตติวุฑโฒ ต้องอาบัติปาราชิก และขาดจากความเป็นพระแล้ว เขาจึงไม่ได้เรียกกิตติวุฑโฒภิกขุ แต่เรียกชื่อจริงตั้งแต่สมัยยังไม่ได้บวชว่า นายกิตติศักดิ์ เจริญสถาพร เพราะถูกฟ้องในคดีฉ้อโกงหลายคดี

ถ้าอ่านมติชนรายวัน ฉบับวันที่ 23 ต.ค.2542 เรื่องพระทุศีล ดีกว่าคฤหัสถ์มีศีล กิตติวุฒโฑก็น่าจะพอมีสำนึกแห่งความเป็นคนอยู่บ้าง เพราะรู้ตัว และสำนึกได้ว่าตนเองนั้นเคยประพฤติทุศีล แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยแก้ตัวอย่างหน้าด้าน ๆ ว่า พระทุศีล ดีกว่าคฤหัสถ์มีศีล ดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กิตติวุฑโฒ ได้มรณภาพไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน เมื่อไปอ่าน นสพ. โพสต์ Today ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 20 ม.ค. 2548 หน้า B7 เรื่อง “ธรรมะน่ารู้” ตอน “รำลึกถึงท่านอาจารย์กิตติวุฑโฒ ซึ่งคุณประณีต ก้องสมุทร แห่งคณะธรรมะพาที ได้บรรยายเกี่ยวกับกิตติวุฑโฒว่า

“….ในสมัยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เฟื่องฟู ท่านเคยกล่าวว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” เป็นเหตุให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับเขียนโจมตีท่าน กล่าวหาว่า ท่านสนับสนุนการฆ่าคน ท่านจึงต้องออกมาชี้แจงความจริงว่า คำว่า “ฆ่าคอมฯ ไม่บาป” นั้น ท่านไม่ได้หมายถึงฆ่าคนที่เป็นคอมมิวนิสต์ แต่ท่านหมายถึงฆ่าลัทธิคอมมิวนิสต์ อันเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนา การช่วยกันกำจัดลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงไม่บาป ในเมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต……..ลองคิดดู พระพุทธเจ้าทรงสอนสาวกให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ เพราะผิดศีลข้อปาณาติบาต ขาดความเมตตา กรุณา สงสารสัตว์ แม้ว่าผ็นั้นจะเป็นศัตรูของพระพุทธศาสนาก็ตาม

ในฐานะที่ท่านอาจารย์นักเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไฉนจะแสดงธรรมที่ขัดแย้งต่อคำสอนของพระบรมศาสดาเล่า….”

แต่การเชื่อแบบนี้ เป็นการด่วนเชื่อ ซึ่งขัดกับหลักความเชื่อ 10 ประการ ข้อที่ 10 ที่ว่า อย่าด่วนเชื่อ เพราะว่าผู้นั้นเป็นสมณะ เป็นครูอาจารย์ของเราเอง

ตรงกันข้ามกับ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 30 ม.ค.2548 คอลัมน์ “เหนือฟ้า ใต้บาดาล” โดยก้อง กังฟู กลับพาดหัวเรื่องว่า “อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ศาสนกิจฉากสุดท้าย สงฆ์ผู้ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” โดยบรรยายว่า

“ 13.05 น. ของวันที่ 21 ม.ค. 2548 พระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ได้มรณภาพด้วยอาการหัวใจล้มเหลว…..

พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือ พระกิตติวุฑโฒ อยู่ในตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กทม. และผู้อำนวยการสำนักสงฆ์จิตตภาวันวิทยาลัย บางละมุง จ.ชลบุรี เดิมชื่อ มังกร เจริญสถาพร ด้วยเป็นผู้ที่มีบุคลิกงามสง่า น่าเลื่อมใส และน้ำเสียง ลีลา เนื้อหาธรรมะ ที่ชวนฟัง จึงมีชื่อเสียงในฐานะพระนักเทศน์ ซี่งก็ได้รับนิมนต์ให้เทศนาออกอากาศ ผ่านสถานีวิทยุต่าง ๆ เป็นกิจประจำ ด้วยพลังแห่งศรัทธา ในปี 2510 จึงมีพลังในการสร้างจิตตภาวันวิทยาลัย เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาทางพระพุทธศาสนา แก่พระภิกษุสามเณร จนเป็นข่าวโด่งดังไปในหลายประเทศ

ความเลื่อมใสเริ่มลดท่าล่าถอยลง หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อันเป็นช่วงที่สังคมการเมืองเข้าสู่ยุค “ขวาพิฆาตซ้าย” ซึ่งพระกิตติวุฑโฒ ได้เทศนาในวลีดัง ที่ว่า “…..ฆ่าคอมมิวนิสต์ (ซึ่งหมายถึงมนุษย์) ไม่บาป” แม้สงครามเย็นจะผ่านไปแล้วถึง 30 ปี ถ้อยคำนี้ยังติดหูผู้คนอยู่จนทุกวันนี้

และหลังจากกล่าววลีอันเป็นประวัติศาสตร์ผ่านไป ในกิจต่าง ๆ ของพระกิตติวุฑโฒ ทั้งศาสนกิจและธุรกิจ ก็มีอันติด ๆ ขัด ๆ และล้มเหลว อย่างเช่น โครงการโรงสี 2,000 โรงช่วยชาวนา……ซึ่งแต่ละโครงการที่ไม่ถึงดวงดาว มีอันพับไปเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร และก็มีบางโครงการ ที่มีเรื่องต้องถึงขั้นฟ้องร้อง ขึ้นดรงขึ้นศาล เมื่อจ่ายเช็คเด้งแล้ว หลังจากนั้น ท่านก็เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยจะออกมาเป็นข่าวแต่อย่างใด….

มาฮือฮาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 เมื่อพระกิตติวุฑโฒ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จาก 3 ประเทศ มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ จิตตภาวันวิทยาลัย เพื่อให้ประชาชนเดินทางไปนมัสการ….

และในวันที่ 28 ก.พ. 2548 ก็จะส่งพระบรมสารีริกธาตุชุดนี้ กลับไปยังประเทศที่เป็นเจ้าของ เป็นการปิดฉากสุดท้ายของศาสนกิจท่านกิตติวุฑโฒ สงฆ์นักเทศน์ผู้เบี่ยงเบนศีลข้อ 1 ขององค์พระศาสดา อันเป็นที่ยึดถือกันมาถึง 25 ศตวรรษ … ได้เป็นที่ฮือฮาในยุคกึ่งพุทธกาล.”

เหตุที่ผมร่ายยาวเกี่ยวโยงไปถึงพระกิตติวุฑโฒ ก็เพราะท่านเป็น 1 ใน แก๊ง 5 คน (Gang of Five) หรือ โหงว นั้ง ปัง ซึ่งประกอบด้วย กิตติศักดิ์ สมัคร ดุสิต อุทิศ อุทาร ซึ่งปัจจุบัน ยังเหลือเพียง Gang of Two หรือ หน่อ นั้ง คือ สมัคร และ ดุสิต เท่านั้นเอง

ขึ้นชื่อว่า “เชื้อชั่ว” มักจะมี “ตัวตาย ตัวแทน” อยู่เสมอ ตามกฎแห่งกรรม และฟ้าดินก็ลงโทษคนพวกนี้อย่างสาสมเช่นเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็ว โปรดคอยติดตาม

บุญเกิด
10 เม.ย. 2548 05:12:31


* สมัคร – อนุวรรตน์ : เสี้ยวหนึ่งของความเป็น “คน”

หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง ได้เขียนบทความในหัวข้อดังกล่าวข้างบน มีเนื้อหา ดังนี้

“การประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2526 มีการอภิปรายกันถึงญัตติด่วนเรื่อง พิจารณาปัญหาการบ่อนทำลายประชาธิปไตย เป็นญัตติด่วนของนายปิยะนัฐ วัชราภรณ์ และคณะ โดยนายปิยะนัฐกล่าวว่า ตนเองรู้สึกเสียใจที่ญัตติด่วนอันนี้ ไม่ได้ถ่ายทอดออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง ทำให้พวก “หนักแผ่นดิน” ไม่ได้ฟัง มี ส.ส. คนหนึ่งถามว่า พวกหนักแผ่นดิน หมายถึงใคร นายปิยะนัฐยกกลอนมากล่าวว่า

“โอ้ว่า อนิจจากรุงวัชชี………เห็นทีจะสลายเป็นแม่นมั่น

มีแต่วิวาทด่าทอกัน……….นับวันยิ่งบานปลาย

ใครหนอมาก่อมูลเหตุ………เกิดสามัคคีเภทฉิบหาย

โอ้ว่า วัชชีจะมาตาย……. แสนเสียดายเคยเจริญรุ่งเรือง”

นายปิยะนัฐยังกล่าวต่อไปว่า การที่วิทยุและทีวีออกมาด่าทอนักการเมือง ก็เหมือนกับมีรัฐบาลซ้อนรัฐบาล มีลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง มรว.คึกฤทธิ์บอกว่าได้ฟังรายการ “ระเบียงข่าว” ซึ่งย้ายจากวิทยุ ททท. ไปที่สถานีวิทยุ พล.1 ตอนใหม่ ๆ ก็ด่าตนสารพัด แต่ตอนหลังกลับมาสรรเสริญว่า เป็นปูชนียบุคคล ควรรักษาไว้ เพราะเป็นคุณประโยชน์กับบ้านเมือง อย่างนี้ตนก็ซวยตาย เพราะประชาชนไม่รู้ว่า เป็นอย่างไรกันแน่

ดร.อนุวรรตน์ วัฒนพงศ์ศิริ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวคัดค้านรายการ “ระเบียงข่าว” ว่า เท่าที่ตนได้ฟังรายการดังกล่าวแล้ว เห็นได้ว่าขณะนี้ได้เกิดขบวนการทำลายประชาธิปไตย นอกจากจะออกทางวิทยุ ทีวี แล้ว ยังจะมีออกมาเป็นเอกสารอีกด้วย เพื่อให้ประชาชนรังเกียจนักการเมือง ส่วนที่นายสมัคร สุนทรเวช หน.พรรค ปชท. ได้อภิปรายว่า บางครั้ง ส.ส. เป็นเผด็จการนั้น ไม่ใช่เป็นความจริง ขอให้พูดกันมาให้ตรง ๆ ดีกว่า ว่า ถ้าพิจารณาเนื้อหาแล้ว ส.ส.เป็นเผด็จการ มากกว่าวุฒิสมาชิก (ส.ว.)

นายสมัครฯ ผู้ถูกกล่าวพาดพิง จึงลุกขึ้นมาตอบโต้ว่า “รายการระเบียงข่าว” เขาวิเคราะห์การเมือง หากคนฟังไม่อคติ ไม่เห็นมีอะไร อั้ยพวก (หนังสือพิมพ์) ข้างบน ประเดี๋ยวเอาความเท็จ ไปประโคมการเลือกตั้งได้ตัวแทนคนทุกอาชีพ ไม่จริงหรอก การแต่งตั้งเสียอีก จะทำให้หาคนเข้าไปครบ (เขาวิเคราะห์การออกความเห็นของรายการระเบียงข่าวของเขา) หากคนฟังไม่อคติ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ที่อั้ยพวกหนังสือพิมพ์เขียนกันโคตรโง่ เขียนกันเลวทรามเท่าไหร่ ไม่เห็นมีใครกล้าแตะ รายการเลือกตั้งที่ระเบียงข่าวพูดถึงนั้น ผมฟังครับ เขาว่าอย่างนี้

“….การเลือกตั้งที่ว่ากันว่า เลือกตั้งผู้แทนแล้ว จะได้ตัวแทนผู้คนทุกอาชีพเข้าไปนั้น บางครั้งก็ไม่เป็นความจริงเช่นนั้นหรอก พอเลือกตั้งเข้าไปแล้ว บางทีก็มีคนพวกนั้น พวกนี้ เท่านั้น จะเลือกจากการแต่งตั้งว่ากันอย่างนั้น แล้วก็หายความว่า การแต่งตั้งเสียอีก จะหาคนเข้าไปครบหมด เพราะมันแต่งตั้งเข้าไปได้ การเลือกตั้งนั้น บางครั้งก็ไม่ได้คนทุกอาชีพเข้าไป….เขาอภิปรายว่า การเลือกตั้งบางครั้ง เราอาจไม่ได้ตัวแทนทุกประเภท ทุกหมู่เหล่า แต่ถ้าการแต่งตั้ง เราคัดเลือกเอาทุกประเภท เอาเข้าไปได้ เป็นการวิเคราะห์ความเห็น”

ดร.อนุวรรตน์ฯ จึงอภิปรายว่า “…..ที่คุณสมัครบอกว่า ส.ส. เป็นเผด็จการนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะว่า ถ้าฟังรายการ “สยามานุสติ” เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมฟังอยู่ตอนนั้น รัฐธรรมนูญกำลังเข้าสภาฯ แห่งนี้ พูดถึงเรื่องเนื้อหากับเรื่องหลักการ ต้องมาที่เนื้อหา พูดไปพูดมา บอกว่า ส.ส.โดยเนื้อหาแล้ว เป็นเผด็จการ” เปิดเทปดูกันก็ได้ คุณสมัครไม่ได้พูดบางครั้ง แต่พูดว่า การเลือกตั้ง ส.ส.เป็นเผด็จการ เห็นแก่ตัวอย่างนั้นอย่างนี้ น่าขัน”

นายสมัครฯ มีสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดใส่อารมณ์ว่า “ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น ขอให้ถอนคำพูด อย่ามาทำมั่ว ถอนคำพูดซะ ที่ว่าผมว่า สภาเผด็จการ รีบถอน”

ในขณะที่ทั้งสองคน กำลังถกเถียงกันทางไมค์ 2 ตัว ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสภาต้องตัดเสียงไมค์ทั้งสองตัวออก นายสีหนาท ฤาชา ส.ส.ชัยภูมิ พรรคชาตไทย ได้ลุกขึ้นอย่างเดือดดาล แล้วคว้าไมค์พูด ทั้ง ๆ ที่ประธานฯ ยังไม่ได้ชี้ให้พูดว่า “อยู่สภามา 4 ปี เพิ่งจะรู้ว่า สภาจะพูดอะไรกันสะดวก ขอให้โต้กันต่อไป ขอไมค์ให้ผมอีกสักอันซิ ว่าให้พร้อมกันเลย คุณสมัครว่าไป ดร.อนุวรรตน์ว่าไป สีหนาทจะขอว่าด้วยคน ถ้าจะกัดกันอย่างสัตว์บางชนิดก็เอา ผมยอมเป็นสัตว์ชนิดนั้น ผมจะขอลงมากัดด้วย”

นายสมัครรีบลุกขึ้นมา ชี้มือไปที่นายสีหนาท แล้วบอกว่า “ถอนคำพูด” แต่นายสีหนาทยืนกราน แถมตอบอย่างลองดีว่า “ไม่ถอน ใครจะทำไม” นายสมัครเห็นท่าไม่ดี จึงหันไปที่ประธานฯ แล้วถามขึ้นมาอย่างฉงนว่า “ท่านประธานครับ ลูกพรรคของท่านเป็นอย่างไร”

ปรากฏว่าผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์กลุ่มใหญ่ที่ไปทำข่าววันนั้น ส่งเสียงโห่ร้องกันอย่างเจี๊ยวจ๊าว จนเจ้าหน้าที่รัฐสภาต้องเข้ามาตักเตือน…..”

เป็นอย่างไรบ้างครับ บทบาทของออหมัก สมัยเป็น ส.ส. ยุคปี 2526 กับท่านประธานโภคินฯ ยุคปี 2548 ใครกระแด่วแห้ว เอ๊ย เลิศสะแมนแตน กว่ากัน ?

บุญเกิด
10 เม.ย. 2548 16:30:22
“””””””””””””””””””””””””””
หมายเหตุ ตรวจสอบได้จากรายงานกระประชุมรัฐสภา 2 มีนาคม 2526

จากคุณ : Can – [ 10 เม.ย. 48

“สมัคร” จวก “อำนาจนอก รธน.” บีบห้ามจ้อออกยูบีซี 9

โดย ผู้จัดการออนไลน์    29 สิงหาคม 2549 15:37 น.
สมัคร สุนทรเวช
   
              “สมัคร” เปิดฉากวิทยุชุมชน ด่า “ผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ” อยู่เบื้องหลังปิดยูบีซี 9 พอจัดวิทยุ อสมท ก็ถูกหาว่าผู้มีอำนาจนอก อสมท มาให้จัด จนต้องระเห็จมาที่วิทยุชุมชน ถาม “มันจะบ้าไปถึงไหน”
       
       
       นายสมัคร สุนทรเวช ส.ว.กทม. กล่าวในรายการ “คุยปัญหา ภาษาสมัคร” สถานีวิทยุเอฟเอ็ม 89.75 ยูนิตี้เรดิโอ โดยกล่าวถึงการมาจัดรายการที่วิทยุชุมชนแห่งนี้ว่า ไปจัดรายการโทรทัศน์ที่ยูบีซี 9 ได้ 4 วันก็ต้องเลิก เพราะมีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาบอกให้เลิกจัด เจ้าของบอกว่าควรจะต้องเลิก พอไปจัดที่วิทยุ อสมท ได้ 3 วัน เขากล่าวหาว่ามีอำนาจนอก อสมท มาให้จัด
       
       “ประหลาดไหมครับ พออยู่ตรงโน้นเขาบอกว่ามีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ เขาไม่ให้จัด แต่ว่าพอทางนี้ เขากล่าวหาว่ามีอำนาจนอก อสมท มาให้จัด ไอ้ความประหลาดแบบนี้แหละครับ ผมก็เลยคิดว่ามันจะบ้าไปถึงขนาดไหน” นายสมัคร กล่าว

จากคุณ : สงสัย (เคียงทะเล)
******************

Comments Off on หมักมาแว้ววว..แม้วมาวัก..